การแพทย์ทางเลือก (Alternative medication) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในบรรดาผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อาทิ โรคปวดเมื่อยตามร่างกาย โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคมะเร็ง ฯลฯ
การแพทย์ทางเลือกมีมากมายหลายสาขา ตั้งแต่ Medical spa, การนวดแผนโบราณ การอบสมุนไพร การฝังเข็ม กดจุด ธรรมชาติบำบัด (Homeopathy) การทำคีเลชั่น (Chelation) โภชน์บำบัด (เช่น ชีวจิต) แพทย์แผนจีนโบราณ และแพทย์แผนไทย
ทำไมคนป่วยจึงหันมาหาการแพทย์ทางเลือกมากขึ้น?
คำตอบ ก็คือ การแพทย์ทางเลือกสามารถบำบัดอาการโรคได้ดีกว่า และถูกกว่า
ท่านผู้อ่านอาจจะมีคำถามขึ้นในใจว่า ถูกกว่าจริงหรือ? สปสช.รักษาฟรี สปส.ก็ฟรี (หักเงินเดือนไปแล้วไม่ใช้ก็ไม่ได้คืน) ประกันสุขภาพหมู่ (สวัสดิการขององค์กร บริษัท) ก็ฟรี แล้วจะมีอะไรถูกกว่านี้อีกหรือ?
ก็ คงไม่มี ในด้านค่าใช้จ่าย ต้องยอมรับว่าที่กล่าวมาราคาถูกหมด แต่ต้นทุนที่เกิดจากความเจ็บป่วย ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ นั้นมีค่ามาก มากจนคนป่วยยอมจ่ายเพิ่มจากสวัสดิการข้างต้น การแพทย์ทางเลือกจึงผุดขึ้นมามากมายในปัจจุบัน ทดแทนการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียง
การแพทย์ทางเลือกจะวาง ตำแหน่งการตลาด (marketing positioning) ในลักษณะการรักษาโรคแบบองค์รวม (Holistic healthcare) ซึ่งมีความแตกต่างจากการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเน้นการให้ยา การผ่าตัด เคมีบำบัด รังสีบำบัด
การแพทย์แบบองค์รวมมักมีแนวทางในการรักษาด้วยการล้างพิษ (detoxification) อาหาร (รวมอาหารเสริมและวิตามิน) อารมณ์ (การให้กำลังใจ การใส่ใจคนป่วย) และการออกกำลังกาย
พร บ.สุขภาพแห่งชาติ ปี๒๕๕๐ มีนโยบายเชิงรุกเพื่อการป้องกันความเจ็บป่วย แต่ ๓ ปีผ่านไป ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นผล คนไทยป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์มีสัดส่วนมากขึ้นในงบประมาณแผ่นดิน ทั้งการนำเข้ายารักษาโรค และการลงทุนเพื่อให้บริการสาธารณสุข เช่น อาคารผู้ป่วย ท่านเคยคิดไหมว่ากลไกอะไรผิดปกติ เฟืองตัวไหนไม่ทำงาน
ใน ฐานะที่ข้าพเจ้าจบการศึกษามาทางด้านเศรษฐศาสตร์ ขอวิเคราะห์ว่า ประการที่หนึ่ง งบประมาณแผ่นดินที่ให้กับการวิจัยทางการแพทย์มีไม่มากเมื่อเทียบกับค่าใช้ จ่ายทางการแพทย์ของประชาชน ประการที่สอง งานวิจัยกระจุกตัวอยู่กับนักวิชาการทางการแพทย์บางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการแพทย์ทางเลือก ประการที่สาม งานวิจัยมุ่งเน้นไปที่อัตตาของผู้วิจัยและคณะกรรมการอนุมัติงานวิจัย
ใน ประการที่ ๑ รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยไม่ยอมสนับสนุนงบประมาณเพราะกว่างานวิจัยจะเห็นผลเป็น รูปธรรมก็เปลี่ยนรัฐบาลไปแล้ว และในประการที่ ๒ นั้นท่านผู้อ่านก็คงจะเข้าใจดี แพทย์ที่รักษาผู้ป่วยมักไม่มีเวลามาทำวิจัย ยกเว้นอาจารย์แพทย์ในมหาวิทยาลัย ส่วนประการที่ ๓ นั้น นักวิจัยมักลงลึกระดับเซลล์ gene DNA เพื่อผลิตยาแก้ไขอาการ (ไม่แก้ไขโรค) นอกจากนี้การวิจัยเพื่อป้องกันในเชิงระบาดวิทยานักวิจัยที่เป็นแพทย์มักไม่ ชอบทำกัน เนื่องจากแพทย์นักวิจัยประเภทมีอัตตาสูง ต้องการผลวิจัยไปต่อยอดในการผลิตยาแก้อาการป่วย ท่านเคยสังเกตไหมว่า ปัจจุบันนี้คนป่วยเริ่มกินยาแทนอาหาร กล่าวคือ ต้องกินทุกวันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะยาใช้แก้ไขอาการ ไม่ได้แก้ไขต้นเหตุของโรค
ยกตัวอย่าง ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท ๒ ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยประเภทนี้ไม่มีปัญหาเรื่องตับอ่อนเสีย สามารถผลิตอินซูลินได้พอเพียง แต่ต้องกินยาลดน้ำตาลในเลือดตลอดชีวิต
คำถามมีว่า นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่รู้สาเหตุของโรคเบาหวานประเภท ๒ หรอกเหรอ
คำตอบ คือ รู้ รู้ลึกด้วย เช่นงานวิจัย "Diabetes contributes to cholesterol metabolism"
ก็ รู้ว่าโรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากความผิดปกติของเมตาบอลิสม์ของคอเลสเตอรอล แต่บริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ก็สนใจผลิตแต่ยาที่ประคับประคองอาการ ต้องกินทุกวันเพื่อการค้าและความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น
แล้วรัฐบาลจะ ทำอะไรได้เมื่อตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ คำตอบคือ แม้ไม่สามารถคิดค้นประดิษฐ์ยาแก้ได้ ก็ควรจะวิจัยหาทางป้องกันโรคเบาหวานประเภท ๒ ซึ่งทุกวันนี้ระบาดไปทั่วประเทศไทยแล้ว ทุกหมู่บ้านเป็นกันหมด เดิมทีก็ว่าเป็นโรคทางพันธุกรรม แต่พอสืบย้อนไปหาปู่ย่าตายายก็ไม่พบว่าเป็นโรคนี้ แสดงว่าเป็นโรคที่เกิดจากอาหารการกิน แต่ช้าก่อนอย่าเพิ่งสรุปว่ากินแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ขาดการออกกำลังกายจึงป่วยเป็นเบาหวาน
นักวิชาการสาธารณสุข ต้องเข้าไปวิจัยว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่เติมไฮโดรเจนกันหืนนั้น เป็นสาเหตุของความผิดปกติของเมตาบอลิสม์ของคอเลสเตอรอลหรือไม่ แม้ว่าน้ำมันพืชฯจะไม่มีคอเลสเตอรอลก็ตาม แต่เมื่อใช้ทอดหรือผัดอาหารที่มีโปรตีน เมื่อกินลงไปแล้ว Lipoprotein (Lipid+protein) ก็ถูกสังเคราะห์ขึ้นในร่างกาย โดยเฉพาะ Low density lipoprotein (LDL)
สารตกค้างในน้ำมันพืชฯ ครีมเทียม เนยเทียม (ซึ่งเติมไฮโดรเจน เรียกรวมๆ ว่า Trans fat) และ/หรือ โครงสร้างทางเคมีที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลจากการเติมไฮโดรเจนเพื่อกันหืน ทำให้เมตาบอลิสม์ของคอเลสเตอรอลผิดปกติจริงหรือไม่ ต้องรีบวิจัย ก่อนที่จะมีแต่คนพิการถูกตัดอวัยวะมือเท้าเพราะแผลเบาหวาน
ยอดขาย น้ำมันพืชฯ ครีมเทียม เนยเทียม เป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ว่า คนไทยกำลังป่วยเพราะเพราะกินมันเข้าไปวันละ ๓-๕ มื้อ ท่านผู้อ่านสามารถปกป้องตนเองด้วยการดีท๊อกซ์ จะใช้วิธีดีท๊อกซ์แบบแพทย์แผนไทย คือกินยาแก้กษัย หรือกินยาแผนจีน ดีท๊อกซ์น้ำกาแฟแบบชีวจิต ธรรมชาติบำบัด หรือใช้ยาเหน็บแผนปัจจุบันก็ได้ แต่ต้องเลิกกิน Trans fat และอาหารที่หุงด้วย Trans fat เช่น ข้าวมัน หันมาใช้พลังงานกลูโคสภายในเลือด ด้วยการเดินขึ้นบันได แทนบันไดเลื่อน หรือลิฟท์ เพื่อระบายไฮโดรเจนออกทางลมหายใจ กินพืชที่ขับปัสสาวะ เช่น สัปรด เพื่อขับไฮโดรเจนส่วนเกินออกจากร่างกาย จัดตั้งชมรมต่อต้าน Trans fat เหมือน http://www.bantransfats.com/ ทำ เช่นนี้แล้วท่านก็เหมือนได้ป้องกันสุขภาพตนเอง และลูกหลานในอนาคต เมื่อชมรมหลายๆ ชมรมรวมตัวกันเข้า ก็มีอำนาจต่อรองเรียกร้องให้รัฐบาลต้องออกประกาศ หรือกฎหมายคุ้มครองเหมือนในสหรัฐอเมริกา ดังข้อมูลข้างล่างนี้
ข้อมูล :
อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่าน กรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”
คำตอบ ก็คือ การแพทย์ทางเลือกสามารถบำบัดอาการโรคได้ดีกว่า และถูกกว่า
ท่านผู้อ่านอาจจะมีคำถามขึ้นในใจว่า ถูกกว่าจริงหรือ? สปสช.รักษาฟรี สปส.ก็ฟรี (หักเงินเดือนไปแล้วไม่ใช้ก็ไม่ได้คืน) ประกันสุขภาพหมู่ (สวัสดิการขององค์กร บริษัท) ก็ฟรี แล้วจะมีอะไรถูกกว่านี้อีกหรือ?
ก็ คงไม่มี ในด้านค่าใช้จ่าย ต้องยอมรับว่าที่กล่าวมาราคาถูกหมด แต่ต้นทุนที่เกิดจากความเจ็บป่วย ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ นั้นมีค่ามาก มากจนคนป่วยยอมจ่ายเพิ่มจากสวัสดิการข้างต้น การแพทย์ทางเลือกจึงผุดขึ้นมามากมายในปัจจุบัน ทดแทนการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียง
การแพทย์ทางเลือกจะวาง ตำแหน่งการตลาด (marketing positioning) ในลักษณะการรักษาโรคแบบองค์รวม (Holistic healthcare) ซึ่งมีความแตกต่างจากการแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งเน้นการให้ยา การผ่าตัด เคมีบำบัด รังสีบำบัด
การแพทย์แบบองค์รวมมักมีแนวทางในการรักษาด้วยการล้างพิษ (detoxification) อาหาร (รวมอาหารเสริมและวิตามิน) อารมณ์ (การให้กำลังใจ การใส่ใจคนป่วย) และการออกกำลังกาย
พร บ.สุขภาพแห่งชาติ ปี๒๕๕๐ มีนโยบายเชิงรุกเพื่อการป้องกันความเจ็บป่วย แต่ ๓ ปีผ่านไป ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นผล คนไทยป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์มีสัดส่วนมากขึ้นในงบประมาณแผ่นดิน ทั้งการนำเข้ายารักษาโรค และการลงทุนเพื่อให้บริการสาธารณสุข เช่น อาคารผู้ป่วย ท่านเคยคิดไหมว่ากลไกอะไรผิดปกติ เฟืองตัวไหนไม่ทำงาน
ใน ฐานะที่ข้าพเจ้าจบการศึกษามาทางด้านเศรษฐศาสตร์ ขอวิเคราะห์ว่า ประการที่หนึ่ง งบประมาณแผ่นดินที่ให้กับการวิจัยทางการแพทย์มีไม่มากเมื่อเทียบกับค่าใช้ จ่ายทางการแพทย์ของประชาชน ประการที่สอง งานวิจัยกระจุกตัวอยู่กับนักวิชาการทางการแพทย์บางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการแพทย์ทางเลือก ประการที่สาม งานวิจัยมุ่งเน้นไปที่อัตตาของผู้วิจัยและคณะกรรมการอนุมัติงานวิจัย
ใน ประการที่ ๑ รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยไม่ยอมสนับสนุนงบประมาณเพราะกว่างานวิจัยจะเห็นผลเป็น รูปธรรมก็เปลี่ยนรัฐบาลไปแล้ว และในประการที่ ๒ นั้นท่านผู้อ่านก็คงจะเข้าใจดี แพทย์ที่รักษาผู้ป่วยมักไม่มีเวลามาทำวิจัย ยกเว้นอาจารย์แพทย์ในมหาวิทยาลัย ส่วนประการที่ ๓ นั้น นักวิจัยมักลงลึกระดับเซลล์ gene DNA เพื่อผลิตยาแก้ไขอาการ (ไม่แก้ไขโรค) นอกจากนี้การวิจัยเพื่อป้องกันในเชิงระบาดวิทยานักวิจัยที่เป็นแพทย์มักไม่ ชอบทำกัน เนื่องจากแพทย์นักวิจัยประเภทมีอัตตาสูง ต้องการผลวิจัยไปต่อยอดในการผลิตยาแก้อาการป่วย ท่านเคยสังเกตไหมว่า ปัจจุบันนี้คนป่วยเริ่มกินยาแทนอาหาร กล่าวคือ ต้องกินทุกวันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะยาใช้แก้ไขอาการ ไม่ได้แก้ไขต้นเหตุของโรค
ยกตัวอย่าง ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท ๒ ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยประเภทนี้ไม่มีปัญหาเรื่องตับอ่อนเสีย สามารถผลิตอินซูลินได้พอเพียง แต่ต้องกินยาลดน้ำตาลในเลือดตลอดชีวิต
คำถามมีว่า นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่รู้สาเหตุของโรคเบาหวานประเภท ๒ หรอกเหรอ
คำตอบ คือ รู้ รู้ลึกด้วย เช่นงานวิจัย "Diabetes contributes to cholesterol metabolism"
ก็ รู้ว่าโรคเบาหวานชนิดนี้เกิดจากความผิดปกติของเมตาบอลิสม์ของคอเลสเตอรอล แต่บริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ก็สนใจผลิตแต่ยาที่ประคับประคองอาการ ต้องกินทุกวันเพื่อการค้าและความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น
แล้วรัฐบาลจะ ทำอะไรได้เมื่อตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ คำตอบคือ แม้ไม่สามารถคิดค้นประดิษฐ์ยาแก้ได้ ก็ควรจะวิจัยหาทางป้องกันโรคเบาหวานประเภท ๒ ซึ่งทุกวันนี้ระบาดไปทั่วประเทศไทยแล้ว ทุกหมู่บ้านเป็นกันหมด เดิมทีก็ว่าเป็นโรคทางพันธุกรรม แต่พอสืบย้อนไปหาปู่ย่าตายายก็ไม่พบว่าเป็นโรคนี้ แสดงว่าเป็นโรคที่เกิดจากอาหารการกิน แต่ช้าก่อนอย่าเพิ่งสรุปว่ากินแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ขาดการออกกำลังกายจึงป่วยเป็นเบาหวาน
นักวิชาการสาธารณสุข ต้องเข้าไปวิจัยว่า น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่เติมไฮโดรเจนกันหืนนั้น เป็นสาเหตุของความผิดปกติของเมตาบอลิสม์ของคอเลสเตอรอลหรือไม่ แม้ว่าน้ำมันพืชฯจะไม่มีคอเลสเตอรอลก็ตาม แต่เมื่อใช้ทอดหรือผัดอาหารที่มีโปรตีน เมื่อกินลงไปแล้ว Lipoprotein (Lipid+protein) ก็ถูกสังเคราะห์ขึ้นในร่างกาย โดยเฉพาะ Low density lipoprotein (LDL)
สารตกค้างในน้ำมันพืชฯ ครีมเทียม เนยเทียม (ซึ่งเติมไฮโดรเจน เรียกรวมๆ ว่า Trans fat) และ/หรือ โครงสร้างทางเคมีที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลจากการเติมไฮโดรเจนเพื่อกันหืน ทำให้เมตาบอลิสม์ของคอเลสเตอรอลผิดปกติจริงหรือไม่ ต้องรีบวิจัย ก่อนที่จะมีแต่คนพิการถูกตัดอวัยวะมือเท้าเพราะแผลเบาหวาน
ยอดขาย น้ำมันพืชฯ ครีมเทียม เนยเทียม เป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ว่า คนไทยกำลังป่วยเพราะเพราะกินมันเข้าไปวันละ ๓-๕ มื้อ ท่านผู้อ่านสามารถปกป้องตนเองด้วยการดีท๊อกซ์ จะใช้วิธีดีท๊อกซ์แบบแพทย์แผนไทย คือกินยาแก้กษัย หรือกินยาแผนจีน ดีท๊อกซ์น้ำกาแฟแบบชีวจิต ธรรมชาติบำบัด หรือใช้ยาเหน็บแผนปัจจุบันก็ได้ แต่ต้องเลิกกิน Trans fat และอาหารที่หุงด้วย Trans fat เช่น ข้าวมัน หันมาใช้พลังงานกลูโคสภายในเลือด ด้วยการเดินขึ้นบันได แทนบันไดเลื่อน หรือลิฟท์ เพื่อระบายไฮโดรเจนออกทางลมหายใจ กินพืชที่ขับปัสสาวะ เช่น สัปรด เพื่อขับไฮโดรเจนส่วนเกินออกจากร่างกาย จัดตั้งชมรมต่อต้าน Trans fat เหมือน http://www.bantransfats.com/ ทำ เช่นนี้แล้วท่านก็เหมือนได้ป้องกันสุขภาพตนเอง และลูกหลานในอนาคต เมื่อชมรมหลายๆ ชมรมรวมตัวกันเข้า ก็มีอำนาจต่อรองเรียกร้องให้รัฐบาลต้องออกประกาศ หรือกฎหมายคุ้มครองเหมือนในสหรัฐอเมริกา ดังข้อมูลข้างล่างนี้
ข้อมูล :
อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่าน กรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”
หนังสือ Poison in the food : Hydrogenated oils ของ Mike Adams จากเว็ป http://www.truthpublishing.com/poisonfood_p/yprint-cat21284.htm ก็ยืนยันว่า trans fat มีผลก่อเกิดโรคหัวใจ ก่อเกิดคอเลสเตอรอลเลว LDL และลดระดับคอเลสเตอรอลดี HDL ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและเป็นโรคอ้วน(Obesity) เร่งขยายการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 หรือคลิกไปดูที่ http://transfatdisease.com/why.html
รัฐเท็กซัส USA. ออกพระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีให้หมดจากร้านอาหาร ภัตตาคาร เบเกอรี่ ภายใน สิงหาคม 2553 http://dallas.bizjournals.com/dallas/stories/2009/05/04/daily72.html
KFC คาดการณ์ว่าคนจะเห็นโทษของ Trans fat แล้วหันไปกินอาหารอื่น จึงออกเมนูไร้ Trans fat http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217
McDonald ประกาศใช้น้ำมันไม่เติมไฮโดรเจนแทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี(Trans fat) เมื่อปี 2007 เริ่มต้นที่ 1,200 สาขาในสหรัฐอเมริกา http://www.msnbc.msn.com/id/16873869/
Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (Trans fat) ตั้งแต่ปี 2550
เมื่อ ท่านไม่ป้อนสิ่งที่เป็นพิษเข้าสู่ร่างกาย ล้างพิษภายในออกจากตัว ด้วยการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ การหายใจออก การออกเหงื่อ ก็นับว่าท่านได้ก้าวสู่ธรรมชาติบำบัด รักษาโรคแบบองค์รวม แล้วร่างกายจะแข็งแรงปราศจากโรค ชีวิตจะยืนยาวอย่างมีคุณภาพ
No comments:
Post a Comment