นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

บทความทั่วไป

Monday, September 30, 2013

ความแตกต่างระหว่างสาย HDMI ราคาถูกกับราคาแพง

HDMI มาตรฐานสำคัญที่ต้องรู้


         โลกของเทคโนโลยีนับวันก็จะยิ่งพัฒนาไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเรื่องของประสิทธิภาพ ขนาด รวมถึงความสะดวกสบายในการใช้งานที่ดีขึ้นเป็นลำดับ

        ในเรื่องของการเชื่อมต่อจำพวกพอร์ต คอนเน็กเตอร์หรือสายเคเบิลต่างๆ ก็ได้มีการพัฒนาไปด้วยเช่นเดียวกันเพื่อให้รองรับการส่งข้อมูลที่มีประมาณ มากขึ้นได้อย่างเต็มที่ อย่างในสมัยก่อนที่เราอาจจะใช้คอมพิวเตอร์ที่ต่อผ่านทางพอร์ต  D-Sub หรือที่เรียกกันว่า VGA จากนั้นก็มาเป็น DVI ซึ่งส่งข้อมูลแบบดิจิตอล ให้คุณภาพที่สูงมากขึ้นไปอีกขั้น


   มาถึงยุคนี้คงจะหนีไม่พ้นมาตรฐานใหม่ที่เรียกกันว่า HDMI ซึ่งเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากอุปกรณ์ต่างๆ ในท้องตลอดไม่ว่าจะเป็นกราฟิกการ์ดที่ใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ หรือจะเป็นเครื่องมีเดียเพลเยอร์รุ่นทอปๆ รวมถึงจอแบบ LCD TV ทั้งหลายก็เริ่มมีการติดตั้งอินเทอร์เฟซแบบ HDMI นี้ลงไปแล้วเช่นกัน

HDMI คืออะไร       มาตรฐาน HDMI เป็นมาตรฐานการส่งข้อมูลที่ทาง Sony, Hitachi, Thomson (RCA), Philips, Matsu***a (Panasonic), Toshiba และ Silicon Image ได้พัฒนาขึ้น โดยชื่อ HDMI นี้เป็นตัวย่อที่ย่อมาจาก High-Definition Multimedia Interface  ซึ่ง ความหมายของมันก็ตรงประเด็นครับ   คือเป็นการเชื่อมต่อสำหรับมัลติมีเดียความละเอียดสูงนั่นเอง และด้วยความที่มันได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับมัลติมีเดียนั่นเอง

       จึงทำให้มันมีจุดเด่นตรงที่มันรองรับการส่งทั้งสัญญาณภาพและเสียงไปพร้อมๆ กันบนสายเคเบิลเส้นเดียวกัน ผ่านพอร์ตๆ เดียวกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายและลดความสับสนในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ลงได้ อย่างมากทีเดียว

      ด้วยจุด ประสงค์หลักของ HDMI ที่ถูกพัฒนาขึ้นก็เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค เพื่อให้ได้รับความบันเทิงเต็ม รูปแบบกับระบบภาพและเสียงแบบ High-Definition และระบบเสียงรอบทิศทาง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ยังไม่มีการเชื่อมต่อแบบ HDMI นั้น คุณอาจจะต้องเชื่อมต่อสัญญาณวิดีโอและสัญญาณเสียง อย่างน้อยก็ 2 ช่องทางแล้ว ยิ่งถ้าคุณต่อสัญญาณวิดีโอแบบ Component และใช้ระบบเสียงแบบ 5.1 หรือ 7.1-Channel ด้วยแล้ว จะต้องเชื่อมต่อสายเป็นสิบเส้นให้วุ่นวายไปหมด HDMI จึงช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อทุกอย่างได้ภายในสายเส้นเดียว เหมาะสำหรับพวกมีเดียเพลเยอร์ เครื่องเล่นเกมคอนโซล หรืออุปกรณ์ Set top box ต่างๆ ที่ต้องต่อเข้ากับทีวีอย่างยิ่ง
 

       คุณสมบัติของ HDMI       แน่นอน ว่าการเชื่อมต่อแต่ละชนิดย่อมต้องมีขีดจำกัดที่ถูกกำหนดมาไว้ด้วยกัน ทั้งสิ้น ซึ่งนั้นก็คือคุณสมบัติของการเชื่อมต่อนั้นเอง      HDMI นี้ก็มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับอินเทอร์เฟซอื่นๆ แต่ด้วยความที่มันได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับ กับมัลติมีเดียระดับ High-Definition อยู่แล้ว มันจึงมีความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลทั้งภาพวิดีโอและเสียงที่คุณภาพระดับ High-Definition ได้อย่างสบาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการบีบอัดข้อมูลเลยการส่งสัญญาณภาพ       สำหรับการส่งภาพวิดีโอนั้นเนื่องจากแหล่งที่มาของข้อมูลภาพนั้นมีอยู่ ด้วยกันหลายแบบ ดังนั้นมันจึงจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบของ MPEG เสียก่อน เพื่อใช้สำหรับส่งข้อมูลไปตามสาย ซึ่งการส่งข้อมูลภาพวิดีโอแบบ MPEG ผ่าน HDMI นี้จะไม่มีการบีบอัดข้อมูลเลย ทำให้การสูญเสียคุณภาพนั้นไม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของ HDMI นั่นเอง รูปแบบการส่งข้อมูลนั้นจะเป็นแบบ TMDS ซึ่งเป็นรูปแบบการส่งข้อมูลแบบอนุกรมแบบเดียวกับที่ใช้บนการเชื่อมต่อแบบ DVI นั่นแหละครับ
    HDMI    ก็จะมีการส่งสัญญาณวิดีโอที่คล้ายกับการเชื่อมต่อแบบ DVI ที่เราใช้งานกันอยู่นี่แหละครับ
ขีดความสามารถในการส่งผ่านภาพวิดีโอของ HDMI นั้นจะขึ้นอยู่กับเวอร์ชันของมาตรฐานด้วยเช่นกัน เนื่องจาก HDMI  เป็นมาตรฐานที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงมีเวอร์ชันที่ต่างกันอยู่พอสมควร แต่ทั้งนี้ทุกๆ เวอร์ชันก็ยังคงใช้งานสายเคเบิล แบบเดียวกันอยู่ เพียงแต่จะมีความสามารถในการส่งข้อมูลได้แตกต่างกันไป ตามเวอร์ชัน อย่างเช่นในเวอร์ชัน 1.0 ซึ่งเป็น เวอร์ชันแรก จะมีความเร็วในการส่งสัญญาณข้อมูลภาพอยู่ที่ 165 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งจะสามารถรองรับสัญญาณภาพแบบ  High-Definition ที่ความละเอียดสูงถึง 1080p ที่ 60 เฮิรตซ์ ได้ หรือระดับ WUXGA (1920x1080)  ซึ่งนั่นคือระดับความละเอียดสูงสุด แต่ถ้าต้องการความละเอียดที่สูงมากกว่านี้ก็จะต้องใช้อุปกรณ์ที่รองรับ มาตรฐาน HDMI  ที่มีเวอร์ชันสูงขึ้นอย่างเช่น 1.3 จะมีความเร็วในการส่งข้อมูลที่ 340 เมกะเฮิรตซ์ และมีสามารถส่ง สัญญาณภาพที่ความละเอียดระดับ WQXGA (2560x1600) ได้ การส่งสัญญาณเสียง   

       สำหรับ การส่งสัญญาญเสียงนั้น     HDMI ก็จะมีการส่งข้อมูลไปแบบไม่มีการบีบอัดเช่นเดียวกัน โดยจะเป็นข้อมูลเสียง ระดับ 192 กิโลเฮิรตซ์ และมีการ Sample แบบ 24 บิต ซึ่งเป็นระดับเสียงเดียวกับที่ใช้ในระบบเดียว Dolby Digital หรือ DTS นั่นเอง นอกจากนี้ HDMI ยังรองรับระบบเสียงแบบ 8 Channel และรองรับ One Bit Audio ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ใน Super Audio CD ด้วย แต่จะมีอัตราการส่งข้อมูลที่สูงขึ้นและมากกว่า Super Audio CD ถึง 4 เท่าด้วยกัน และยิ่งในเวอร์ชัน 1.3 ยิ่งมีการพัฒนาให้รองรับระบบเสียงที่มีคุณภาพเทียบเท่าDolby  TrueHD และ  DTS-HD  Master  Audio ด้วย

แหล่งที่มา
http://www.ban4tit.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=19&Category=ban4titcom&thispage=1&No=1254595


.................................................................................................................................................

มารู้จักประเภทของสาย HDMI

 


เดี๋ยว นี้ HDMI ซึ่งเป็นมาตรฐานในการส่งข้อมูลภาพและเสียงหลายช่องแบบดิจิตอล นั้นตอนนี้เป็นที่นิยมมากจนเห็นกันเป็นของธรรมดา ๆ ไปแล้ว แต่เท่าที่สังเกตดู พบว่าหลาย ๆ คนยังสับสนเกี่ยวกับเรื่องประเภทของสาย HDMI วันนี้ RE.V-> ก็จะเอาเรื่องนี้มานำเสนอให้ได้อ่านกันครับ

เลขเวอร์ชั่นนั้นสำคัญไฉน
มาตรฐาน HDMI นั้นเป็นมาตรฐานที่ไม่อยู่นิ่งเหมือนมาตรฐานตัวอื่น ๆ เพราะว่าทางผู้พัฒนามีการเพิ่มเติมความสามารถต่าง ๆ ลงไปในมาตรฐานอยู่ตลอดเวลา ทำให้เจ้า HDMI นี้เก่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบัน เวอร์ชั่นล่าสุดของ HDMI อยู่ที่ 1.4 ซึ่งมีความสามารถหลัก ๆ ที่เพิ่มเติมจากเวอร์ชั่น 1.3 อยู่ดังนี้ครับ
•   HDMI Ethernet Channel (HEC) เพิ่มช่องสัญญาณเครือข่ายความเร็วสูงสุด 100 Mbps หรือให้พูดง่าย ๆ ก็คือเพิ่มสาย LAN เข้ามาใน HDMI น่ะแหละ
•   Audio Return Channel (ARC) ทำให้โทรทัศน์สามารถส่งสัญญาณเสียงกลับไปที่ A/V Reciever ได้ เพื่อให้เสียงจากโทรทัศน์ไปออกที่ชุดลำโพงได้ (ปกติโทรทัศน์จะทำได้แค่รับสัญญาณภาพที่ต่อออกมาจาก AVR เท่านั้น)
•   รองรับระบบภาพแบบ 3D
•   รองรับวิดีโอที่มีความละเอียดระดับ 4K (4096 x 2160 พิกเซล)
•   Content Type รองรับการส่งสัญญาณประเภทของเนื้อหาจากเครื่องเล่นไปโทรทัศน์ ทำให้โทรทัศน์สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลให้เจ้ากับเนื้อหาได้
•   รองรับ Color Space เพิ่มเติม ซึ่งส่วนมากจะเป็น Color Space ที่ใช้ในไฟล์รูปถ่ายต่าง ๆ เช่น Adobe RGB
นอก จากความสามารถที่เพิ่มมา ก็ยังมีการกำหนดเรื่องของหัวปลั๊กแบบใหม่ ๆ และประเภทของสายที่เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป

  ประเภทของสาย HDMI

ทาง HDMI นั้นได้เริ่มแบ่งประเภทของสายตั้งแต่ช่วงประมาณเวอร์ชั่น 1.3 ซึ่งก็คือแบบ Standard และ High Speed และในเวอร์ชั่น 1.4 เองนั้นก็ได้มีการเพิ่มชนิดของสายเข้ามาอีก ทำให้ปัจจุบันสาย HDMI มีทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่
•   Standard HDMI Cable รองรับปริมาณข้อมูลในการส่งสัญญาณภาพที่ 1080i และ 720p ได้อย่างราบลื่น เหมาะกับการใช้งานกับพวกกล่องเคเบิ้ลทีวี กล่องดาวเทียม หรือเครื่องเล่นดีวีดีแบบ up-scale
•   Standard HDMI Cable with Ethernet ความสามารถเหมือนสาย Standard แต่เพิ่ม Ethernet Channel สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ HDMI-HEC
•   Standard Automotive HDMI Cable ความสามารถเหมือนสาย Standard แต่เพิ่มเติมการทดสอบให้มากกว่า เพราะสายต้องนำไปใช้ในรถยนต์ซึ่งมีการกวนกันของสัญญาณสูงกว่าการใช้งานตาม บ้าน
•   High Speed HDMI Cable รองรับปริมาณข้อมูลในการส่งสัญญาณภาพได้มากกว่าที่ 1080p ขึ้นไป และรองรับการส่งสัญญาณภาพแบบ 3D 4K และ Deep Color เหมาะกับการใช้งานกับเครื่องเล่นบลูเรย์ เครื่องเล่นเกมแบบ HD เช่น PlayStation 3
•   High Speed HDMI Cable with Ethernet ความสามารถเหมือนสาย High Speed แต่เพิ่ม Ethernet Channel เข้ามา

 

ซึ่ง สายแต่ละประเภทนั้นจะถูกทาง HDMI ทดสอบประสิทธิภาพตามเกณฑ์ข้างบน ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้โลโก้บนตัวสินค้าได้ อย่างไรก็ตามตัวสายนั้นอาจจะมีประสิทธิภาพที่มากกว่าเกณฑ์ที่กำหนดที่สาย เส้นนั้นทดสอบผ่านได้ เช่น สายแบบ Standard บางเจ้าอาจจะสามารถส่งสัญญาณภาพได้ถึง 1080p ซึ่งมากกว่ามาตรฐาน แต่อาจจะไม่สามารถใช้งานกับสัญญาณภาพแบบ 3D ได้ หรือสาย HDMI บางรุ่นของบริษัท Monster ซึ่งทำสายมาให้รองรับปริมาณข้อมูลเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ จนกล้ารับประกัน ว่า ไม่ว่าอุปกรณ์จะมีการเปลี่ยนแปลงหรืออัพเกรดไปอย่างไร สายของ Monster จะยังใช้งานได้อยู่
แล้ว เลขเวอร์ชั่นล่ะ ไม่ใช้แล้วเหรอ คำตอบมันก็ไม่ได้ใช้กันแต่แรกแล้วครับ แต่ผู้ผลิตเป็นคนเอาเลขเวอร์ชั่นไปใส่กันเอง จนทำให้คนซื้อเมื่อก่อนลืมไปเลยว่าสาย HDMI มันมีแค่ Standard กับ High Speed เท่านั้น ไม่ใช่ 1.2 1.3 หรือ 1.4 และนี้อาจจะเป็นสาเหตุให้ทาง HDMI ได้บังคับให้เหล่าผู้ผลิตสายห้ามใส่เลขเวอร์ชั่นลงในตัวสินค้า บรรจุภัณฑ์ และการโฆษณา ซึ่งผมคิดว่าเพื่อลดความสับสนในการเลือกซื้อสายให้ถูกต้องตามการใช้งาน

สรุปก็คือสาย HDMI มี 5 ประเภท และเลขเวอร์ชั่นก็ไม่ได้บอกถึงประเภทของสายครับ

รวมปัญหาที่หลาย ๆ คนมักจะถามประจำ

ผมมีเครื่อง XXX อยู่ อยากจะต่อดู 3D มีสาย HDMI รุ่นเก่าอยู่ ต้องเปลี่ยนสาย HDMI ใหม่หรือไม่
ถ้า หากสายที่ใช้เดิมนั้นเป็นสายแบบ High Speed ส่วนมากจะสามารถใช้ดู 3D ได้เลยโดยไม่ต้องเปลี่ยนสาย และทุกฟีเจอร์ใน HDMI 1.4 นั้นหากมีสาย High Speed เดิมอยู่แล้ว แทบไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนสายใหม่เลย ยกเว้นฟีเจอร์ Ethernet Channel เท่านั้นที่ต้องใช้สายเส้นใหม่ เพราะมีการปรับปรุงตัวสายเพิ่มเติม

สาย HDMI สามารถยาวได้ที่สุดเท่าไร
ทาง HDMI ไม่ได้กำหนดความยาวมากสุดของสายเอาไว้ เพียงแต่ถ้ามีคนทำสายความยาวมาก ๆ มาแล้วผ่านการทดสอบประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดก็จะการรับรองไป จาก FAQ ของทาง HDMI นั้นได้เคยรับรองสายความยาวมากถึง 10 เมตรมาแล้ว

ใช้อุปกรณ์ที่เป็น HDMI 1.4 ต้องใช้สายที่เป็น HDMI 1.4 หรือไม่
จากข้างต้นที่ว่าตัวสายไม่มีเวอร์ชั่น จะใช้สายอะไรก็ได้ แต่เลือกประเภทของสายให้ถูกกับการใช้งานล่ะกัน

จะรู้ได้อย่างไรว่าสายที่ซื้อมานั้นได้รับการรับรองจากทาง HDMI จริง ๆ ไม่ใช่เอาโลโก้มาติดบนกล่องเท่ ๆ
แนะนำให้ซื้อสายจากบริษัทหรือผู้ผลิตที่เป็นสมาชิกกับทาง HDMI สามารถดูรายชื่อได้จาก ที่นี้

สาย HDMI ราคาถูกกับราคาแพงต่างกันที่ไหน
สาย ราคาถูกกับราคาแพงนั้นมักต่างกันที่การออกแบบหัวปลั๊ก คุณภาพของตัววัสดุที่ใช้ทำสาย และขั้นตอนการทดสอบคุณภาพต่าง ๆ สายที่แพงกว่านั้นมักจะออกแบบมาให้ตัวสายทนต่อการดึงหัวปลั๊กเข้า – ออก การขดงอของสาย การหักสายที่ตัวปลั๊กได้ดีกว่าสายราคาถูก โดยเฉพาะสายราคาถูกโนเนมที่หน้าตาอาจจะดูคล้าย ๆ สายมียี่ห้อ แต่พอใช้งานไปสักระยะก็พังคามือซะแล้ว และส่งสัญญาณได้ตามที่ระบุเอาไว้ นอกจากนี้บางบริษัทยังมีการรับประกันสินค้าให้ด้วย

More info

ใครสนใจอยากอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติม สามารถตามไปอ่านได้ที่เว็บของทาง HDMI ได้เลยครับ
HDMI.org

 

แหล่งที่มา

http://www.pome-sat.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539498107&Ntype=1


............................................................................

ความแตกต่างระหว่างสาย HDMI ราคาถูกกับราคาแพง

“คำถาม: สาย HDMI แบบเส้นละ 300 บาท กับเส้นละ 4,000 บาทต่างกันตรงไหน ผมควรจะซื้อแบบไหนดีครับ?”
ผม (ผู้เขียน) เป็นวิศวกรด้านกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ ผมทำงานคลุกคลีอยู่กับสัญญาณอนาล็อก และดิจิตอลอยู่ทุกๆ วัน ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมคิดว่าผมมีคุณวุฒิและคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะตอบคำถาม นี้
และคำตอบสำหรับคำถามนี้ก็คือ “ไม่ครับ – สาย HDMI ราคาแพงไม่ช่วยทำให้คุณภาพของภาพและเสียงดีขึ้นแต่อย่างใด”
ผมขออธิบายเหตุผลทางด้านเทคนิคที่ค่อนข้างซับซ้อนก่อน และหลังจากนั้นจะอธิบายในเชิงเปรียบเทียบ ซึ่งผมหวังว่ามันจะฟังดูสมเหตุสมผลสำหรับคุณ ถ้าคุณไม่อยากอ่านข้อมูลเชิงเทคนิคล่ะก็ ขอแนะนำให้ข้ามไปอ่านใน Section B ครับ

Section A:
ด้วยหลักการง่ายๆ ที่ว่า สายไฟถูกออกแบบมาให้ส่งสัญญาณไฟฟ้า อะไรก็ตามที่ถูกส่งผ่านสายไฟสุดท้ายแล้วเป็นเพียง กระแส/ความต่างศักย์ ที่เราป้อนเข้าไปให้มัน
ก่อนเข้าสู่เรื่องสาย HDMI ขอพูดกันด้วยเรื่องสายอนาล็อกก่อน สัญญาณวีดีโอแบบอนาล็อกที่ส่งผ่านสายนั้นจะเป็นกระแสไฟที่เป็นแบบ 1 volt peak to peak หรืออธิบายง่ายๆ ว่า ถ้าเราวัดความต่างศักย์ของกระแสในสายเส้นนี้ที่ voltage ต่ำสุดกับที่ voltage สูงสุด เราจะวัดได้ 1 volt พอดี สัญญาณอนาล็อกจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตามช่วงเวลา (slices of time) ซึ่งจะตรงกับจำนวน “เส้น (lines)” ของสัญญาณที่ส่งไปยังทีวี ผมจะขอไม่ลงในรายละเอียดตรงส่วนนี้ เพราะค่อนข้างเป็นรายละเอียดทางเทคนิคที่ซับซ้อน
พูดง่ายๆ ก็คือ สัญญาณอนาล็อก จะประกอบไปด้วย “front porch” หรือสัญญาณส่วนหน้า ซึ่งสัญญาณส่วนนี้จะเป็นสัญญาณที่บอกคุณลักษณะของสัญญาณวีดีโอที่ปล่อยมาจาก แหล่งปล่
อยสัญญาณ ซึ่งสัญญาณในส่วนนี้จะช่วยทีวีของคุณในการกำหนดระดับสีดำ (black level) ของวีดีโอที่จะแสดงบนทีวี และต่อจาก front porch ก็จะเป็นในส่วนของสัญญาณภาพ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นเส้นๆ (lines) โดยจะแบ่งเป็น 455 half cycles ต่อเส้นสัญญาณ 1 เส้นที่แสดงบนทีวี

ขอผมเน้นย้ำอีกครั้ง ว่าผมจะไม่ลงรายละเอียดในเรื่องของการผสมข้อมูลต่างๆ เช่น chrominance (ข้อมูลเกี่ยวกับสี) และ luminance (ข้อมูลเกี่ยวความสว่าง) ลงไปในสัญญาณอนาล็อก เนื่องจากผมเกรงว่ามันจะทำให้บทความนี้ดูซับซ้อนเกินไป ผมขอพูดสรุปตรงนี้ว่าสัญญาณอนาล็อกที่ถูกส่งไปยังทีวีนั้น จะประกอบด้วยข้อมูลของเส้นสัญญาณภาพที่ทีวีจะนำไปแสดงให้คุณเห็น และยังประกอบด้วยสัญญาณข้อมูลอื่นๆ ที่ทีวีไม่แสดงให้คุณเห็น เช่น close captioning และ test signal เป็นต้น
เมื่อคุณใช้เครื่องมือ (scope) ในการดูสัญญาณอนาล็อกที่ส่งไปยังทีวี คุณจะเห็น waveform ที่มีลักษณะคล้ายๆ ภาพดังต่อไปนี้
Waveform หรือ “คลื่น” ที่เห็นในภาพ เป็น waveform ของสัญญาณอนาล็อก ถ้าเราจ้องไปที่ timeslice (ช่วงใดช่วงหนึ่งของคลื่น) เราจะเห็นว่าในช่วงนั้นสัญญาณมันมีความต่างศักย์เท่าใด
ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นการง่ายมาก ที่สัญญาณอนาล็อกจะถูกรบกวน และผสมปนเปไปกับสัญญาณที่เข้ามารบกวนนั้น ซึ่งเมื่อการรบกวนเกิดขึ้น ก็จะทำให้มี noise เพิ่มเข้าไปในสัญญาณ และยิ่งมี noise ในสัญญาณมากขึ้นเท่าไหร่ ภาพที่แสดงบนโทรทัศน์ก็จะด้อยคุณภาพลงเท่านั้น คุณจะเริ่มเห็นเอฟเฟคท์แปลกๆ บนภาพ เช่น จุดลายๆ (snow), เส้นต่างๆ และสีที่ผิดเพี้ยน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะว่า waveform ที่ส่งผ่านสายถูกรบกวนจนมีผลให้สัญญาณที่ส่งมาจากแหล่งกำเนิดผิดเพี้ยนไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราเข้าสู่ยุคดิจิตอล (ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงสัญญาณดิจิตอลที่ส่งผ่านสาย HDMI) ข้อมูลที่ส่งผ่านสายสัญญาณจะถูกเข้ารหัส (encoded) ด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกับแบบอนาล็อก โดยข้อมูลที่ส่งผ่านสายจะเป็นชุดของบิท (bits) หรือพูดง่ายๆ คือ สัญญาณที่ส่งจะเป็นรหัสที่แสดงว่าข้อมูลเป็น ON หรือ OFF เท่านั้น โดยมันไม่สนใจว่าที่ timeslice นั้นๆ จะมีความต่างศักย์ไฟฟ้าเป็น 4.323 โวลต์ หรือ 4.927 โวลต์ สิ่งที่มันสนใจอย่างเดียวคือว่าสัญญาณตรงนั้นเป็น on หรือ off เท่านั้น เมื่อเราเอาสัญญาณดิจิตอลมาพล็อตเป็นกราฟ จะได้ภาพดังนี้
นี่ล่ะครับสัญญาณดิจิตอล ในแต่ละ slice ของสัญญาณ บิทไหนที่ขึ้นสูง (high) สัญญาณจะเป็น on และบิทไหนที่ลงต่ำ (low) สัญญาณก็จะเป็น off
ด้วยเหตุนี้ ถึงคุณจะผสม noise จำนวนเล็กน้อย หรือจำนวนมหาศาลเข้าไปในสัญญาณดิจิตอลก็ตาม มันก็จะไม่ส่งผลอะไรเลย เพราะยังไงสัญญาณก็ยังเป็น ON หรือ OFF อยู่วันยังค่ำ

ทีนี้เรามาดูการเปรียบเทียบในแบบที่เข้าใจง่ายกันเถอะ

Section B:
อนาล็อก: ลองนึกถึงขั้นบันไดสัก 200 ขั้นไว้ในใจนะครับ และให้มีนาย A กำลังไต่บันไดอยู่ สัญญาณอนาล็อก จะเป็นตัวบอกว่านาย A อยู่ที่บันไดขั้นไหน ณ ขณะเวลาหนึ่งๆ และสมมติว่านาย A กำลังเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ (เปรียบเสมือนสัญญาณที่ถูกรบกวน และเพี้ยนจากต้นฉบับไปเรื่อยๆ) ตรงนี้ล่ะที่ความผิดพลาดจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย ตัวอย่างเช่น สมมติว่า ณ ขณะนั้นนาย A อยู่บนบันไดขั้นที่ 101 แต่ด้วยสัญญาณที่รบกวน คุณอาจจะเข้าใจผิดว่าเขากำลังอยู่ขั้นที่ 102 และยิ่งนาย A เดินขึ้นบันไดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ คุณก็จะเริ่มสับสนขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงจุดจุดหนึ่ง คุณจะไม่สามารถบอกได้เลยว่า ณ ขณะนี้นาย A อยู่ที่บันไดขั้นไหนกันแน่
เพิ่มเติมจากผู้แปล: เนื่องจากสัญญาณอนาล็อก เป็นการวัดความต่างศักย์ของกระแส ณ เวลา (timeslice) ขณะใดขณะหนึ่ง สมมติว่า สัญญาณที่มันควรจะเป็น ณ ขณะนั้นคือ 0.75 โวลต์ แต่เนื่องจากมีการรบกวน ทำให้สัญญาณ ณ ขณะนั้น กลายเป็น 0.68 โวลต์ จึงทำให้ทีวีของเราตีความสัญญาณนั้นไม่ถูกต้อง และนำไปสู่การแสดงภาพที่ผิดเพี้ยนนั่นเอง
ดิจิตอล: ลองนึกถึงบันได 200 ขั้นกับนาย A เหมือนเดิมนะครับ – ในกรณีที่เป็นสัญญาณดิจิตอล คุณจะไม่สนใจว่านาย A จะอยู่บันไดขั้นที่ 13 หรือ 15 แต่สิ่งที่คุณสนใจก็คือ นาย A อยู่ “ข้างบน” หรือ “ข้างล่าง” ถึงแม้นาย A จะเดินขึ้นบันไดไปอีกกี่ขั้นก็ตาม และคุณจะไม่สามารถบอกได้อีกต่อไปว่าเขาอยู่บันไดขั้นไหนแล้ว (จะเพิ่มสัญญาณรบกวนหรือ noise ไปมากเท่าใดก็ตาม) แต่สิ่งที่คุณสามารถที่จะบอกได้แน่นอนก็คือ ณ ขณะนั้นนาย A อยู่ “ข้างบน” หรือ “ข้างล่าง” (เป็น “1” หรือ “0” นั่นเอง)
และสมมติว่า นาย A เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่คุณไม่สามารถบอกได้อีกต่อไปว่านาย A เป็น 1 หรือ 0 กันแน่ (เพิ่ม noise เข้าไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เครื่องรับสัญญาณไม่สามารถแยกแยะได้อีกต่อไปว่าอะไรคือ “ข้อมูล” และอะไรคือ “noise” – ผู้แปล) แต่ก็นับเป็นข้อดีของโลกดิจิตอลครับ คือ อุปกรณ์ดิจิตอลจะไม่ใช้วิธี “เดา” เมื่อมันได้รับสัญญาณ มันจะทำงานได้ แต่ถ้ามันรับสัญญาณไม่ได้ มันจะไม่ทำงานเลย
(เพิ่มเติมจากผู้แปล: ถ้าสัญญาณ HDMI โดนรบกวนมากจนกระทั่งทีวีไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสัญญาณกับ noise ได้ล่ะก็ ทีวีของคุณจะไม่ใช้วิธีการคาดเดา แต่มันจะไม่แสดงภาพเลย)
นี่ล่ะครับเป็นเหตุผลว่าทำไมสายสัญญาณราคาถูกไม่มีผลต่อคุณภาพของสัญญาณดิจิตอล
อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าคุณเผอิญไปได้ยินใครพูดว่าเขาสามารถเห็นความแตกต่างระหว่างการใช้สาย HDMI ราคาถูกกับสายราคาแพง คุณก็สามารถหัวเราะเขาในใจได้เลย เพราะเขาได้เสียเงินจำนวนมากมายไปอย่างไร้ประโยชน์ และไร้จุดหมายครับ

หลายๆ คนอาจพูดว่า สาย HDMI ราคาแพงจะให้เสียงที่ดีกว่า นั่นก็เป็นความเชื่อที่ผิดครับ เพราะสัญญาณเสียงที่ส่งผ่านสาย HDMI เป็นสัญญาณดิจิตอลเช่นเดียวกับสัญญาณวีดีโอ เพราะฉะนั้นทฤษฎีของขั้นบันไดที่ผมได้กล่าวไปแล้วก็สามารถนำมาใช้ตรงนี้ได้ ด้วย… ผมจึงขอเน้นย้ำว่า เนื่องจากมันเป็นสัญญาณดิจิตอล มันจึงไม่มีความแตกต่างอะไรเลยระหว่างสายราคาถูกกับสายราคาแพง

แหล่งที่มา
http://www.vpro.co.th/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2-hdmi/



....................................................................................................................................................

สาย HDMI คุณภาพ ต่อ ราคา?


hdmi สาย HDMI คุณภาพ ต่อ ราคา?
HDMI Cable
เป็นอีกหนึ่งปัญหาโลกแตกที่กลายเป็นศึกย่อมๆ ระหว่าง Geek ผู้แน่นทฤษฏีกับ Videophile ผู้มีสายตาเยี่ยงเทพ เกี่ยวกับคุณภาพของสาย HDMI ราคาถูกและแพง ว่าคุณภาพต่างกันหรือไม่ในด้านการใช้งานจริง จริงๆ เรื่องนี้เถียงกันบอร์ดระเบิดไปหลายที่แล้ว แต่วันนี้จะเป็นมุมมองของผมเอง
สำหรับผมเองสาย HDMI ถ้ามันไม่ห่วยจริงๆ ผมมั่นใจว่ายังไงถ้ามีภาพออกมาก็คุณภาพใกล้เคียงกันแน่นอน หรือเผลอๆ อาจจะเท่ากันด้วย ผมเองไม่ได้เป็นพวกหูทองหรือตาเทพอะไรขนาดนั้น ผมมองว่าหลายคนที่เห็นว่าคุณภาพมันต่างกันจริงๆ อาจจะเพราะยังเป็นความคิดเดิมๆ จากยุค analog เสียมากกว่าเพราะเมื่อก่อนผมคงไม่เถียงว่าคุณภาพของ material ที่นำมาใช้งานมีความแตกต่างแน่นอนสำหรับยุคอนาล็อกที่ส่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ ต้องการความเที่ยงตรงสูงมาก ถ้าเกิดออกไซด์นิดๆ หน่อยๆ แน่นอนว่าแรงดันที่ได้ก็จะเปลี่ยนทำให้ตีความเพี้ยนสุดท้ายก็จะเพี้ยนทั้ง กระบวนแน่นอน ฉะนั้นการเคลือบทองตรงจุด contact เพื่อป้องกันการเกิดสนิมจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับสายที่เป็น analog
แต่สำหรับสาย HDMI ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วเพราะเป็นการส่งแบบดิจิตอล ต่างจากสายแบบเก่าคือ Component, VGA, AV, S-Video อย่างสิ้นเชิง ถ้าคุณซื้อสายไม่เกิน 4 เมตรแล้วมีภาพออกมาให้คุณเห็นตามปกติก็มั่นใจได้ว่าสามารถส่งได้ครบถ้วน แน่นอนโดยที่อาการภาพเบลอ สีบูดนั้นไม่มีให้เห็นเพราะสัญญาณที่ส่งออกมานั้นเป็น 0 และ 1 เท่านั้นและสองสัญญาณนี้ความแตกต่างค่อนข้างเยอะสมควรฉะนั้นคุณภาพที่ เครื่องรับแปลออกมาจึงไม่มีการถูกลดทอนค่อนข้างสูงมาก
ผมมีคอมพิวเตอร์เครื่องนึงที่เอาไว้ต่อออกกับทีวีจอใหญ่ๆ ผมมีสายสองเส้นคือสาย VGA (ที่เป็น Analog) และสาย HDMI (ที่เป็น Digital) สายทั้งสองเส้นซื้อจากพันธุ์ทิพย์ชั้น 4 ในราคาไม่เกิน 500 บาท ผมต่อเล่นคอมด้วยความละเอียดแบบ full HD (1080p = 1920*1080px) สาย vga คุณภาพไม่เอาอ่าวเลยในเรื่องคุณภาพของ font มีจุดขาดๆ หายๆ เพียบและไม่เนียนสักนิด ส่วนนึงเพราะสัญญาณที่ถูกลดทอนไปในสาย และนี่ก็คือเหตุผลที่มาตรฐาน HDMI เข้ามามีบทบาทในวงการวิดีโอครับ ซึ่งเมื่อผมต่อด้วย HDMI ถูกๆ ก็ใช้งานได้ครบถ้วนทุกอย่าง font ดูสวยงามเหมือนในจอคอมทุกอย่าง เล่นเกม ดูหนัง ไม่มีอาการกระพริบหรือสะดุดอะไรทั้งสิ้น และผมก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างอะไรกับสายแพงๆ ที่ผมเคยลองใช้เท่าไหร่
แน่นอนว่าการซื้อสายแพงไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะสิ่งที่คุณจะได้คือ
  • ความมั่นใจ
  • คุณภาพสายที่แน่นหนาและไม่หลุดไม่หลวมง่ายๆ
  • ความหรู (สายแพงจัง งามจริงๆ (อันนี้จริงแท้แน่นอน))
  • การรับประกัน (บางยี่ห้ออาจตลอดชีพ)
แต่การซื้อสาย HDMI เส้นละหลายพันมาเพื่อต่อกับ LCD TV เพื่อหวังความละเอียดที่สวยงามกว่าผมไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เพราะผมมองว่ามันไม่ได้ให้ความแตกต่างอะไรที่เห็นได้ชัดเจนเลย มีคนมากมายที่พูดถึงสิ่งนี้ ฉะนั้นผมขอสรุปด้วยภาพด้านล่างนี้ละกัน

TheRipHDMI3 สาย HDMI คุณภาพ ต่อ ราคา?


แหล่งที่มา
http://www.techblog.in.th/2010/04/01/hdmi-cable-cheap-and-expansive-overpriced/

 
.

DIY S/PDIF Coaxial Bracket for PC

สมัยก่อนท่านที่เล่นระบบเสียงบนเครื่องคอมพิวเตอร์สนใจกันพวก DAC หรือ AVR ที่ไหนกัน แต่ก่อนมีซาวการ์ดแยกเพิ่มดีๆซักตัวนึงแล้ว แต่เดี๋ยวนี้อาจจะกลายเป็นว่ามันไม่พอไปแล้ว ต้องอาศัย DAC เพื่อมาใช้ฟังเพลงโดยเฉพาะ แต่ว่าพวก DAC หรือ AVR ส่วนมากต้องรับสัญญาณดิจิตอลมาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้การเชื่อมต่อแบบ S/PDIF OPTICAL และ COAXIAL

แต่จะให้ไปซื้ออุปกรณ์ส่งสัญญาณให้ออกมาเป็นรูปแบบ S/PDIF COAXIAL เช่น Sound Card Hi-End หรีอ USB to SPDIF COAXIAL Converter เพื่อมาส่งสัญญาณเข้า DAC หรือ AVR ก็อาจจะเป็นการลงทุนที่แพงมากไปสำหรับผู้เริ่มต้นและต้องการความประหยัดงบประมาณในการเล่นระบบเสียงบนเครื่องคอมพิวเตอร์

แต่สุดท้ายก็มีพระเอกที่ทางผู้ผลิตได้ใส่มาให้นั้นก็คือการ์ดเสียงแบบออนบอร์ด โดยส่วนมากแล้วจะมีช่อง S/PDIF OPTICAL มาให้  แต่ว่าในความนิยมการเล่นสาย SPDIF COAXIAL จะได้รับความนิยมสูงกว่า ซึ่งจะมีแต่เพียงเมนบอร์ดแบบ Hi-End ที่จะใส่ SPDIF COAXIAL มาให้ด้วย แล้วถ้าอยากจะใช้สาย SPDIF COAXIAL บนเมนบอร์ดที่ไม่มีมาให้จะทำยังไง วันนี้ผมมีทางออกแบบง่ายๆ ที่สำคัญลงทุนไม่กี่บาท บางทีอาจไม่ต้องลงทุนด้วยเพราะว่าหาของที่เคยใช้ DIY เก่าๆที่ไม่ได้ใช้แล้วมาทำก็ได้



ตามมาตรฐานของ S/PDIF สำหรับผู้ใช้งานตามบ้านก็จะมีการเชื่อมต่อสองรูปแบบคือ Optical และ Coaxial


Back I/O Panel ของเมนบอร์ดรุ่นนึง ที่มีราคาขายอยู่เกือบหกพันบาท แต่ว่า S/PDIF Out มันยังมีแต่ Opticalเท่านั้น เมนบอร์ดราคาประหยัด ไม่ต้องมาคิด มันไม่มีมาด้วย  


นี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมความนิยมการเล่นสาย Coaxialนั้นได้รับความนิยมสูงมากกว่า เนื่องจากว่ามันมีลูกเล่นให้ใช้ได้เยอะ ไม่ว่าจะตะกั่ว ,หัว RAC และสายสัญญาณ 75 โอห์ม


อย่าคิดว่า S/DPIF สำหรับการ์ดเสียงแบบออนบอร์ดจะเพิ่งมามีไม่นานนี้ สมัยก่อนเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วก็ยังมีเช่นกันครับ  ที่สำคัญที่ต่างประเทศมี Bracket อุปกรณ์เสริมขายด้วย  


Bracket S/PDIF สำหรับการ์ดเสียงออนบอร์ด ในต่างประเทศก็มีขายด้วย แต่ถ้ามานั่งคิดเรื่องราคารวมกับค่าส่งมาบ้านเรา บางทีรวมกันแล้วหงายหลังจนต้องไปคิดซื้อการ์ดเสียงแบบแยก เพื่อที่จะมาปล่อย S/PDIF ก็ยังคุ้มกว่าเลยครับ 


การ DIY S/PDIF Coaxial Bracket ก็ต้องอาศัยจากจุดต่อ S/PDIF Out บนเมนบอร์ด แต่ว่าไม่ใช่แต่การ์ดเสียงออนบอร์ดอย่างเดียวที่ทำได้ เพราะว่าการ์ดเสียงแยกที่ไม่มี S/PDIF Coaxial ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ซึ่งก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อการ์ดเสียงแบบ Hi-End เพื่อจะใช้ S/PDIF Coaxial ก็ได้ครับ จุดเชื่อมต่อ S/PDIF Out เมนบอร์ดแต่ละรุ่นก็จะจุดที่มีลักษณะแตกต่างกันไป ยังไงก็ต้องศึกษาคู่มือเมนบอร์ดรุ่นที่จะทำก่อน การ DIY S/PDIF Coaxial Bracket อาศัยขั้วสัญญาณ S/PDIF Out และ Ground (GND) เพียงเท่านั้น 


 เมนบอร์ดกิ๊กกาไบท์ รุ่นใหม่ๆจะเปลี่ยนไปใช้เป็นลักษณะ S/PDIF Out แบบสองขา ต่อได้แต่แบบ Coaxial เพราะว่าส่วนมากจะมี Optical มาให้อยู่แล้วครับ


                  ผมก็บอกไว้ตั้งแต่ตอนช่วงต้นบทความนี้แล้วว่า ในวันนี้จะเน้นกันที่ความประหยัดแล้วทำแบบง่ายๆ อุปกรณ์ที่ใช้ก็จะออกแนวตามมีตามเกิดไปบ้างซะเล็กน้อย เนื่องจากว่าผมไม่ได้ลงทุนอะไรเลย หาของเก่าๆในบ้านมาใช้เท่านั้นครับ อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำDIY S/PDIF Coaxial Bracket
1.แท่น RCA แบบตัวเมีย จะเป็นตัวละไม่กี่สิบบาทจนถึงตัวละหลายร้อยบาทก็ได้ ตามงบประมาณ
2.สายที่แถมมากับ CD-Rom ,DVD-Rom ที่มักจะโยนทิ้งๆกันไป ที่เอาสายแบบนี้มาใช้ เพราะว่าโดยปกติแล้วสายนี้มันเป็นสายที่ใช้ในการส่งข้อมูล S/PDIF จากการฟัง CD-Audio มาสู่การ์ดเสียงอยู่แล้ว ที่สำคัญไม่ต้องมาเข้าหัวใหม่ด้วย มีแต่ตัดออกให้พอดี
3.แผ่นเหล็กที่ใช้ปิดรูหลังเคส 


                  ส่วนนี้จะเป็นอุปกรณ์เสริมที่ใช้ในการทำ DIY S/PDIF Coaxial Bracket ซึ่งก็เลือกใช้ตามความสะดวก แต่โดยหลักแล้วจะต้องมีหัวแร้งที่ใช้ในการเชื่อมและตะกั่วที่ใช้เชื่อม
1.หัวแร้งที่ใช้ในการเชื่อม ซึ่งไม่ต้องเอาแบบที่มีความร้อนสูงมาใช้มากก็ได้ เพราะว่าถ้าร้อนไปบัดกรียากอีก
2. ตะกั่วเชื่อม จะใช้เป็นตะกั่วถูกๆหรือจะใช้ตะกั่วเงิน 101% ก็ใช้ได้ตามความสามารถของหูและเงินงบประมาณ
3. USB 2.0/1.1 + IEEE 1394 Bracket เอาไว้ ถ้ากลัวเปลืองที่ ก็ทำ S/PDIF Coaxial + USB 2.0/1.1 Bracket ไปเลย
4. ตะข่ายหุ้มสายไฟ เผื่อว่าจะไว้ตบแต่งให้ดูสวยงาม
5. ท่อหด เผื่อว่าจะเก็บซ่อนรอยการเชื่อมที่ดูไม่สวยงามและใช้ร่วมกับตะข่ายหุ้มสายไฟ


นำแผ่นเหล็กที่ใช้ปิดรูหลังเคส มาเจาะให้รู้มีความพอดีกับแท่น RCA ที่จะนำมาใช้ทำ S/PDIF Coaxial Bracket พร้อมทั้งการลองยึด แท่น RCA กับแผ่นเหล็กปิดหลังเคสไว้ด้วยให้แน่นๆ


ถ้าต้อง S/PDIF Coaxial + USB 2.0/1.1 Bracketก็นำ USB 2.0/1.1 + IEEE 1394 Bracket มาถอด
IEEE ออกไป แล้วก็ทำการยึดแท่น RCA ให้เรียบร้อยจริงๆที่ผมแนะนำแบบนี้ด้วย เผื่อว่าท่านใดไม่มีเครื่องมือ+ฝีมือที่ใช้ในการเจาะแผ่นเหล็กที่ใช้ปิดรูหลังเคส


นำสาย CD-In ,CD-S/PDIF In ที่มันแถมมากับ CD-Rom หรือ DVD-Rom มาทำการตัดหัวออกข้างนึง แล้วพร้อมทั้งการปลอกสายไฟให้พร้อมกับการเชื่อม ถ้าไม่ต้องการสายที่ยาวมาเกินไป ก็สามารถตัดให้มีความยาวพอดีตามความต้องการก็ได้ครับแต่ว่ายาวเผื่อไว้หน่อยก็ยังดี เพราะว่าเหลือดีกว่าขาดครับ


ใช้ไขควงปากแบนอันเล็กๆหรือว่าเข็มเป็นตัวช่วยในการย้ายตำแหน่งของขาก็ได้ ซึ่งก่อนที่จะย้ายนั้นควรศึกษาคู่มือก่อนว่าที่ตัวหัวเสียบกับ S/PDIF Out บนเมนบอร์ดตำแน่งสัญญาณ S/PDIF Out อยู่ตรงไหนและกราว์อยู่ตรงไหน สายสีดำเส้นใหญ่ๆนั้นจะใช้เป็นส่วนของกราว์และสายสีแดงกับขาวเป็นสาสัญญาณ S/PDIF ครับ (รูปไม่ชัดอย่าโกรธกันนะ เพราะว่าทำทั้งทำถ่ายรูป)
รูปแบบบางส่วนของ S/DPIF Connector Header
หลังจากที่จัดตำแหน่งสายไฟของหัวเสียบ S/PDIF Out ได้เรียบร้อยแล้ว สายอะไรที่ไม่ได้ใช้ก็ตัดทิ้งไปดีกว่า อยู่ไปก็รก
มาถึงการเตรียมตัวกันบ้างซักเล็กน้อย สำหรับแท่น RCA ที่ท่านเตียมไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ตอนต้น ก็ถ้ายังไม่มีความชำนาญทางด้านการเชื่อม ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ตอน ป.4 ที่ผมไปปรึกษาเรื่องการซ่อมรถบังคับวิทยุที่ผมรื้อจนเน่า ได้บอกไว้ว่า "ป้ายตะกั่วให้หนาๆที่จุดที่ต้องการจะเชื่อมสายไฟไว้มากหน่อย เวลาเชื่อมสายไฟจะได้เชื่อมติดง่าย" ซึ่งผมก็จำมาใช้ถึงทุกวันนี้แม้จะจบ ป.โท แล้วก็ตาม ที่แท่น RCA จุดเชื่อมด้านข้างที่ยื่นออกมาไว้เชื่อมสาย Ground และ ตรงกลางใช้เชื่อมกับสายสัญญาณ S/PDIF 


ทำการเชื่อมสายกราว์ให้เรียบร้อย จิ้มปุ๊บติดแล้วไม่ต้องแช่นานครับ
ทำการเชื่อมสายสัญญาณ S/PDIF ให้เรียบร้อย จิ้มปุ๊บติดแล้วปล่อย
แค่นี้ก็เรียบร้อยพร้อมที่จะนำไปใช้งาน
จะนำท่อหดมาหุ้มรอยเชื่อมที่ไม่ค่อยสวยงามหรือเพื่อความคงทนที่มากขึ้นก็แล้วแต่ รวมไปถึงการนำตะข่ายหุ้มสายไฟมาหุ้มสายเพื่อความสวยงามก็ได้ครับ แต่จากในภาพผมไม่ได้ใช้ตะข่ายหุ้มสายไฟแบบที่ใชในคอมนะ ผมเอาท่อหุ้มสายไฟแบบที่ทนความร้อนสูงที่ไว้ใช้หุ้มสายไฟที่เดินในห้องเครื่องของรถยนต์มาใช้ (พอดีมันมีเหลือที่บ้านนิดหน่อย)


การปรับแต่งโปรแกรมของการ์ดเสียง เพื่อให้ออกทาง S/PDIF Coaxial ก็มีความแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อยครับ ก็ขึ้นอยู่กับ Driver ที่ลงเอาไว้ รวมไปถึงการตั้งค่า Volume Mixer ของระบบปฏิบัติการให้เสียงออกมาทาง S/PDIF Coaxial ด้วยส่วนการปรับแต่งอื่นๆให้เหมาะสมกับการฟังเพลงหรือดูหนังลองศึกษาเพิ่มเติม กันตามสบาย 
หลังจากที่ได้ทำ DIY S/PDIF Coaxial Bracket เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขอนั่งฟังเพลงผ่านทาง DAC Dual PCM1794 ให้หายมึนตะกั่ว ก็พบว่าเพียงแค่ใช้สาย Coaxial DIY เส้นไม่กี่ร้อย (ค่าหัว RCA หัวละเกือบร้อย + สายเมตรละร้อยกว่าบาท)เสียงที่ออกมาแค่นี้มันก็ดีกว่าการต่อผ่านทาง สาย USB ที่มีราคาเกือบพันแล้วครับ แค่นี้ก็ทำให้หายเหนื่อยและหายมึนตะกั่วไปได้มาก


Conclusion !
                  อ่านแล้วอ่าเพิ่งมึนกันนะครับ เพราะว่าตอนนี้ที่นั่งเขียนอยู่เนี่ยผมก็ยังไม่หายมึนตะกั่วดีเท่าไรครับ หลายๆท่านอ่านบทความในวันนี้แล้วก็อาจจะงงๆ ว่า S/PDIF Coaxial มันคืออะไร ถ้าเกิดวันหน้ามีโอกาสเล่น DAC หรือ AVR ที่มีการเชื่อมต่อแบบที่ต้องใช้ S/PDIF ค่อยมาย้อนกลับมาดูก็ได้ครับ เพราะว่าเรื่อง DIY S/PDIF Coaxial Bracket มันมีมานานแล้ว แต่ว่าก็ยังมีคนไม่รู้กันอีกมาก 
การ DIY S/PDIF Coaxial Bracket ในวันนี้กฌจะเป็นลักษณะแบบเบื้องต้น ที่ทำกันได้แบบง่ายๆ ไม่ต้องมีความรู้ทางด้านไฟฟ้าก็สามารถทำได้ แต่ว่าถ้าต้องการทำ DIY S/PDIF Coaxial Bracket ให้ดีกว่านี้ก็เปลี่ยนเกรดอุปกรณ์ที่ดีขึ้น เช่นแท่น RCA, สายสัญญาณและตะกั่วเงินแท้ๆ ก็เรียกว่ายกระดับ DIY S/PDIF Coaxial Bracket ให้ดีขึ้นกว่าได้อีก รวมไปถึงการประยุกต์รูปแบบอื่นๆตามความต้องการเช่นต่อจากบนเมนบอร์ดแล้วทำสายต่อกับ DAC หรือ AVR โดยตรงก็สามารถทำได้เช่นกัน วันนี้ก็คงจะได้
อะไรไปบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

แหล่งที่มา

............................................................................................................................................................

ที่คอม (Sound card) ก็เป็นฝ่ายเข้ารหัส หรือส่งผ่านสัญญาณที่เข้ารหัสแล้วเช่นจาก DVD แล้วส่งออกไปยัง SPDIF จะผ่าน Optical หรือ Coax ก็แล้วแต่ที่เลือกใช้ต่อไปยัง AVR ให้ AVR ถอดรหัสออกเป็นหลายๆ channel เพื่อขยายออกสู่ลำโพง

นั่นคือ ที่คอมหรือเครื่องเล่น DVD หรือ Xbox มี Optical/Coax output เพื่อส่งสัญญาณแบบดิจิตอล

ส่วนที่ AVR ก็มี Optical/Coax input เพื่อถอดรหัส

อย่าง DVD player บางรุ่นก็มีภาคถอดรหัสเป็นสัญญาญอนาลอกแบบ Multi-channel ให้เลย เอาไปต่อพวกลำโพง 5.1 ที่ใช้กับคอมได้เลย ก็ใช้สายสัญญาณเยอะหน่อย

ให้ สะดวกหน่อยก็ส่งผ่าน Optical/Coax เพียงเส้นเดียว ไปให้ AVR ทำการถอดรหัสแล้วขยายออกลำโพง และไม่เสี่ยงกับการเกิดข้อผิดเพี้ยนของสัญญาญมากนักด้วย
..........................................................................................................................................................

ต่อเล่นหนังจากคอม และ ฟังเพลง จากคอมเช่นกันครับ แต่ผมเลือกต่อผ่าน HDMI ครับ เส้นเดียวมาทั้งภาพและเสียง
เลือกสายที่ราคาพอประมาณให้เหมาะกับชุดที่ใช้ก็พอครับ เส้นเดียวเท่านั้นเริ่มต้นที่พันแก่ๆ ประหนัดกว่ามาก

ข้อดีข้อเสียคือ 

การต่อ อานาล๊อก 7.1 จากคอม ผมอยากบอกว่า ถ้าการ์ดซาวน์ ไม่ดีจริง การต่ออานาล๊อกจากคอม มีเสียงรบกวนมาก ที่มาจากคลื่นรบกวนในตัวคอมเองครับ การต่อเป็นดิจิตอล จะทางโคแอค หรือ ออพติก หรือ HDMI ช่วยแก้จุดนี้ได้

ถ้าการ์ดซาวคุณดีจริงๆ สายอานาล๊อกคุณก็ต้องดีตาม ทีนี้ราคาสาย 8 เส้นมันกี่ตังล่ะครับ และสายภาพอีก แพงกว่า AVR ที่คุณเลือกเห็นๆ

แต่ ถ้าการ์จอคอม ไม่มี HDMI อาอารนี้ก็ต้องใช้ ออพติกล่ะครับ ราคาก็ไม่แพงหรอก เริ่มที่พันแก่ๆเช่นกัน ก็ยังประหยัดกว่าสาย อานาล๊อก 8 เส้น

ตัวผมต่อคอม ส่งภาพ+เสียง ผ่าน HDMI เข้า AVR และ AVR ส่งภาพผ่าน HDMI เข้า TV อีกที
ใช้การ์ดซาวน์ ASUS Xoner สามารถเล่นหนังBD เป็นเสียงแบบ DTS HD / DD TrueHD ได้ด้วย
และภาพจากคอม ก็ยังใช้AVR ปรับแต่งได้ด้วย มันช่วยให้ดำขึ้น คมขึ้น ได้
.........................................................................................................................................

ถ้าคอมพ์คุณมีการ์ดที่สามารถต่อ HDMI ได้ เสียงก็ไม่ต้องต่อ spdif แล้วล่ะครับ เพราะมันก็ออกที่ช่อง HDMI ครับ แต่ต้องไปตั้งในตัว codec โปรแกรม ในส่วนของ option ของโปรแกรมที่คุณใช้ ให้มันส่งเสียงมาทาง HDMI ครับ