นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

บทความทั่วไป

Sunday, August 25, 2013

50 วิธีเอาชนะภูมิแพ้


1.สระผมของคุณก่อนเข้านอนทุกคืน โดยเฉพาะในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ

2.อย่าตากเสื้อผ้า และเครื่องนอน (ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน) ไว้กับราวตากผ้ากลางแจ้งในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ เพราะเกสรดอกไม้ และเชื้อราจะเกาะติดกับผ้าที่ตากได้

3.ล้างมือทันทีหากไปเล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือให้อาหารมัน

4.เปิดไฟในตู้เสื้อผ้าตลอดเวลา เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในตู

5.ไม่ควรนำตุ๊กตาที่ยัดไส้ด้วยนุ่น หรือใยสัตว์ไว้ในห้องนอน

6.ช่วงสาย ๆ ไปจนถึงตอนบ่าย เป็นช่วงที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนไปทั่ว ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย

7.จงเปลี่ยนเสื้อผ้านอกห้องนอน เพื่อทิ้งสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้ไว้นอกห้องนอน

8.ถอดเสื้อผ้า และซักทันที หากคุณไปเยี่ยมเยียนเพื่อนที่มีสัตว์เลี้ยง

9.ห่อหุ้มหมอน และฟูกในผ้าพลาสติกแล้วปูทับด้วยผ้าฝ้าย

10.ใช้เครื่องปรับความชื้นในห้องที่อับชื้นมาก ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อรา ความชื้นที่พอเหมาะควรมีค่าอยู่ระหว่าง 25-50%

11.เลิกใช้พรมปูพื้นห้อง เปลี่ยนพื้นห้องเป็นไม้ หรือกระเบื้อง ซึ่งจะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า

12.ถ้าคุณแพ้ผึ้ง หรือมดตะนอย ก็จงหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อสีสด ๆ การฉีดสเปรย์ผม การใช้น้ำหอมดับกลิ่นตัว หรือการใส่น้ำหอม รวมทั้งการปิกนิก หรือการตั้งวงปิ้งอาหารรับประทานนอกบ้าน

13.เปลี่ยนเครื่องเรือนที่บุด้วยนุ่น หรือตกแต่งด้วยขนสัตว์มาเป็นเครื่องเรือนที่ทำจากพลาสติก ไม้ โลหะ หรือหนังสัตว์ ซึ่งจะไม่เก็บกักสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้

14.ในการทำความสะอาดบ้าน จงอย่าใช้ไม้ขนไก่ หรือไม้กวาด แต่จงใช้ผ้า หรือไม้ถูพื้นที่ได้ชุบน้ำแล้ว

15.เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีน้ำเป็นตัวกักฝุ่น และมีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง

16.สวมผ้าปิดจมูก และปากเสมอ เพื่อกันฝุ่นในขณะที่คุณทำความสะอาดบ้าน

17.อย่ารีบเข้าไปในห้องที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ควรรออย่างน้อย 20 นาทีก่อน เพื่อให้ฝุ่นผงที่ล่องลอยอยู่ในอากาศตกลงสู่พื้นให้หมด

18.ถ้าคุณมีสัตว์เลี้ยงคุณต้องป้องกันอากาศมิให้พัดจากนอกบ้านเข้ามาในห้องนอนของคุณ

19.ทำความสะอาดบริเวณที่มีราขึ้นด้วยน้ำยาฟอกคลอรีน โดยผสมผงคลอรีน 10 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน

20.ห้ามทุกคนรวมทั้งแยกสูบบุหรี่ในบ้าน หากจุสูบให้สูบนอกบ้าน

21.วานคนที่ไม่แพ้ ทำความสะอาดกรงของสัตว์เลี้ยง

22.ถ้าคุณจะออกกำลังกายกลางแจ้ง ก็ขอให้ทำในช่วงเช้า ๆ บ่ายแก่ ๆ หรือตอนเย็น ๆ

23.ปิดหน้าต่างรถของคุณให้สนิท แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศภายในรถให้ไหลเวียน

24.ไม่ใช้พัดลม เพราะจะพัดเอาเกสรดอกไม้ และเชื้อราเข้ามาในบ้าน รวมทั้งไม่ใช้เครื่องทำความเย็นชนิดอังด้วยน้ำ เพราะจะทำให้ห้องชื้น

25.หากคุณปิดบ้านไว้นาน เชื้อราอาจจะเจริญเติบโตได้ ดังนั้นเมื่อคุณกลับมาอยู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง คุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรม และทำความสะอาดอย่างดีเสียก่อน

26.ตรวจสอบว่ามีอะไรในบ้านบ้างที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อรา เมื่อพบแล้วจงกำจัดให้หมด แหล่งเพาะเชื้อราที่อาจเป็นได้ เช่น ในเครื่องทำความชื้นบนพรมที่เปียกชื้น บนพื้นห้องที่ผุ ในถังขยะ บนกระดาษปิดฝาผนังที่เปียกชื้น เป็นต้น

27.เมื่อคุณใช้เครื่องดูดฝุ่น จงเลือกใช้ถุงเก็บฝุ่นชนิดถุงหนา 2 ชั้น และแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง

28.เมื่อคุณจะไปเที่ยวพักผ่อนในที่ใด ๆ ก็ตาม จงเลือกสถานที่ ๆ มีฝุ่นละออง หรือเกสรดอกไม้น้อย เช่น ชายทะเล

29.ถ้าคุณคิดว่าอาหารบางอย่างทำให้คุณแพ้ ก็อย่าลืมปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะลงมือเปลี่ยนรายการอาหารอย่างถอนรากถอนโคน

30.อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารที่คุณซื้อเสมอ เพื่อดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ส่วนผสม เช่น นม ไข่ ถั่ว อาจทำให้คุณแพ้ก็ได้

31.พกบัตรที่แสดงข้อความว่าคุณเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืดอย่างรุนแรงไว้เสมอ

32.เลือกที่จะมีสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีขน เช่น ปลา เต่า แทนการเลี้ยงแมว หรือสุนัข

33.ล้างมือ ผิวหนัง เสื้อผ้า สัตว์เลี้ยง หรืออะไรก็ตามที่เปื้อนยางต้นไม้

34.ถ้าคุณต้องการพ่นยาฆ่าแมลง จงเลือกใช้น้ำยาที่คุณไม้แพ้ คุณควรอยู่นอกบ้าน และวานให้คนอื่นพ่นยาฆ่าแมลงให้ เมื่อพ่นยาเสร็จแล้วคุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรกสัก 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลับเข้าบ้าน

35.ทำความสะอาดห้องน้ำ ครัว และห้องใต้ดินบ่อย ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในบ้าน เพราะห้องเหล่านี้มีความชื้นสูง

36.หลีกเลี่ยงการใช้เตาที่เผาไหม้ด้วยไม้ เพราะควันไฟอาจทำให้คุณแพ้ได้

37.สอบถามครูที่โรงเรียน เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ลูกของคุณแพ้ เช่น มีสัตว์เลี้ยงในห้องเรียนหรือไม่ มีแมลงสาบในตู้เก็บของหรือไม่ มีตัวไรฝุ่นในพรมปูพื้นหรือไม่

38.เปิดเครื่องดูดควันเสมอเมื่อคุณทำอาหาร เพื่อลดความชื้น และกำจัดควัน และกลิ่นอาหาร

39.ซักเครื่องนอนทั้งหลาย (ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ฯลฯ) ในน้ำร้อนประมาณ 50 องศาเซลเซียสสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อฆ่าตัวไร การเป่าลมร้อนเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะฆ่าตัวไร

40.หากคุณต้องการขับรถท่องเที่ยวพักผ่อน ก็จงทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศในรถเสียก่อน เพื่อกำจัดเชื้อราที่อาจแอบซ่อนอยู่

41.หากคุณต้องการออกกำลังกายกลางแจ้ง จงเลือกออกกำลังกายในวันที่ไม่มีลม

42.ติดตั้งพัดลมดูดอากาศที่ห้องน้ำ และเปิดใช้ทุกครั้งที่อาบน้

43.อยู่ให้ห่างไกลจากสิ่งที่ทำให้แพ้ เช่น ควันบุหรี่ หมอกควัน น้ำหอม และสบู่หรือน้ำยาซักล้างที่มีกลิ่นฉุน

44.ถ้าคุณต้องการทาสีบ้านใหม่ จงเลือกใช้สีน้ำมัน และอย่าอยู่บ้านในขณะที่ช่างกำลังทาสีบ้าน

45.หากคุณคิดจะย้ายบ้าน จงแวะเวียนไปยังบ้านใหม่นั้นอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อน เพื่อทดสอบว่าคุณไม่แพ้ แต่ก็อย่าลืมว่าอาการแพ้อาจกลับมาหาคุณได้อีก แม้ว่าคุณจะไม่มีอาการเลยเป็นเวลาหลายเดือน หรือหลายปีก็ตาม

46.เลือกให้หมอน ฟูก หรือผ้าห่มที่บุด้วยยางแทนพวกที่ยัดด้วยนุ่นหรือขนสัตว

47.หมั่นทำความสะอาดบริเวณใต้ตู้เย็น ซึ่งมักเป็นที่สะสมของเศษอาหาร และฝุ่น และกลายเป็นสวรรค์ของแมลง และเชื้อรา

48.หมั่นตัดกิ่งไม้ ตกแต่งพุ่มไม้ บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้รกเรื้อใกล้ตัวบ้านหรือห้องนอนของคุณ

49.ห้ามนำสัตว์เลี้ยงที่มีขน เช่น แมวและสุนัข ไว้ในห้องนอนอย่างเด็ดขาด ห้องนอนของคุณจะได้ปราศจากจากสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้

50.ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการที่เป็น แพทย์อาจสั่งยาให้คุณ ถ้าคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ได้ ซึ่งจะทำให้คุณไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการแพ้





.

Sunday, August 4, 2013

2-หลักการเลือกซื้อ LCD, LED, Plasma TV สำหรับมือใหม่ ภาค2


หลักการเลือกซื้อ LCD, LED, Plasma TV สำหรับมือใหม่ ภาค2

เรื่องจริง RoHS & Lead Free แต่ Neo Plasma เป็นแค่มุมมองส่วนตัว
Lead Free = ปราศจากตะกั่ว –> ใช้เฉพาะการบัดกรีเท่านั้น โดยใช้ปรอท(Murcury)มาบัดกรีแทนตะกั่ว ซึ่งทำให้จุดบัดกรีมันปริแตกง่าย(Crack) และการใช้ปรอท มันต้องเพิ่มอุณหภูมิอีก 5-20 องศาเซลเซียสมากกว่าการใช้ตะกั่วในการทำให้ปรอทละลายเพื่อบัดกรีอุปกรณ์อิ เล็คโทรนิคส์ ทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้น และเปลืองค่าไฟซะอีก แถมทำให้อายุใช้งานของบอร์ดต่างๆสั้นลง อย่างเห็นได้ชัด
แต่จอ Neo ไม่ใช้ทั้งปรอท(Murcury Free) และตะกั่ว(Lead Free) ในการผลิต มันน่าจะทำให้อายุจอสั้นลง เพราะเดิมทีจอยังไม่ทันเสีย พวกบอร์ดต่างๆมันเสียก่อนแล้ว ลูกค้าคงไม่ซีเรียส แถมได้เครดิตเรื่องรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย เพราะไม่มีสถาบันไหนออกมารับประกัน หรือออกในรับรอง(Certificate)ให้ว่านอกจากรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ทำให้จอมันทนทานเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิม ที่เห็นว่าจอ Neo ภาพคม สวย อาจจะมาจาก 1.จอถูกฉาบกันแสงสะท้อนมาเยอะ 2.การออกแบบ Main Board ที่ดีกว่าเดิม 3.เขียน Firmware แบบไม่กั๊ก ถ้าจะพิสูจน์ลองเอาเครื่อง V20 แต่ใส่จอ X20 สิ แล้วเทียบกับเครื่อง X20 แท้ๆ ว่ามีผลมากน้อยแค่ไหน

เมื่อ ก่อนเริ่ม Lead Free เพียงอย่างเดียว ต่อมาเพิ่มสารต้องห้ามอีกเพียบโดยเรียกใหม่ว่า RoHS มันยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะมาตราฐาน RoHS แต่ละประเทศ แต่ละผลิตภัณฑ์ แต่ละบริษัท ไม่เหมือนกันซะด้วย มันเป็นข้อกำหนดแบบหลายมาตราฐานมาก เป็นการเพิ่มต้นทุน แต่คุณภาพลดลง แต่ต้องสร้างภาพว่ารักษ์โลก
Sony เรียก Green Partner
SS เรียก ECO Partner
Delta เรียก RoHS
แล้ว ลิสสารเคมี(Chemical List)ต้องห้าม แค่ 3 บริษัทนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว และแต่ละบริษัทยังแตกออกเป็นส่งไปขายโซน America กับ Europe ก็ใช้ลิสต้องห้ามไม่เหมือนกันอีก นี่ยกตัวอย่างแค่ 3 บริษัทเองนะครับ

ผม เคยดูแลเรื่อง RoHS มาปีกว่า ไปนั่งฟังมาทั้ง 3 บริษัท ทำ Workshop มาหลายหนแล้ว แต่ละโซน แต่ละประเทศ เค้าไม่ยอมคุยกัน ทำให้มาตราฐานมันเยอะมาก สร้างภาพเพื่อรักสิ่งแวดล้อม แต่อายุใช้งานของเครื่องใช้อิเล็คโทรนิคส์สั้นลง เท่ากับเพิ่มขยะอิเลคโทรนิคส์ แล้วมันรักษาสิ่งแวดล้อม หรือทำลายกันแน่
* Neo Plasma ก็แค่ไม่ใช้สารปรอท กับตะกั่วในการผลิตจอ แต่ไม่ได้มีผลอะไรกับภาพอย่างชัดเจน
*SS Planet Frist เทคโนโลยีสีเขียวเพื่อโลกที่น่าอยู่ เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตเท่านั้น หรือเป็นกฎข้อบังคับของ America & Europe
* สีสันจะแหล่มหรือไม่ขึ้นอยู่กับการออกแบบ Main Board และการเข้ากันได้กับจอที่ผู้ผลิตนั้นนำมาประกอบกัน รวมถึงการฉาบหน้าจอไม่ให้สะท้อนด้วย

made in –?
Pana –> ประกอบเครื่องที่ Malaysia(Board ทุกชนิด ผลิตในไทย)
Sharp , Philips -> made in Malaysia
LG , SS , Sony , JVC —-> made in Thailand
Toshiba , Sanyo –> made in Indonesia
TCL —> made in China . . . โรงงานที่ปทุมปิดไปแล้ว เพื่อนผมที่เคยทำที่นั่นยังซื้อ 40″ มา 4,000บ. ตอนโรงงานปิด
* made in Thailand & Malaysia ดีกว่า
* made in Indonesia ดีกว่า
* made in China

Dead pixel 3 dot อย่างต่ำ
เป็น มาตราฐานจากโรงงานผลิตจอครับ ผมอยู่โรงงานเจอ 1-2 ดอท ยังเคลมไม่ได้เลย และขนาดเจอเป็น 10 ดอท เค้าก็ซ่อมให้ ซ่อมแล้วเหลือ 2 ดอท ก็คืนไม่ได้เหมือนกัน จอใหญ่มันหนัก โรงงานผลิตจอเค้าไม่รับคืนง่ายๆครับ เค้าจะมี Engineer มาตรวจ+ซ่อมก่อนส่งคืนโรงงานผลิตจอของเค้าเอง
แล้วเครื่องที่เป็น 1 – 2 ดอท แล้วร้านเปลี่ยนตัวใหม่ให้ แล้วเครื่องนั้นจะวนไปที่ใคร ใครจะแจ็คพอต . . .

วิธีดูเครื่องว่าใหม่หรือไม่ แบบง่าย+เช็ค Dead Pixel+เช็คสิ่งแปลกปลอม
1.ที่กรอบหน้ากาก(Front หรือ Bazel)ของเครื่อง ต้องมีพลาสติคแปะมาครบทั้ง 4 ด้าน
2.ขาตั้ง ต้องมีพลาสติคแปะมาเรียบร้อย
3.กล่อง+อุปกรณ์ต้องอยู่ในสภาพใหม่ แบตเตอรี่รีโมทซีลพลาสติคเรียบร้อย
4.ใบรับประกันครบ 2 ส่วน
5.เช็ค Dead pixel สีแดง เขียว น้ำเงิน เหลือง ชมพู ขาว ดำ ต้องไม่มีสีอื่นปนในแต่ละสี . . . ถ้าเจอ Dead ให้ขอเปลี่ยนเครื่องใหม่ ไม่ให้เปลี่ยน ก็เปลี่ยนร้านคร๊าบบบบบ
6.ให้ร้านเปิดภาพแท่งสี(Color Bar) หรือภาพที่เทส Dead ก็ได้ แล้วเอาอะไรที่มันไม่ใช่โลหะ เอาสันมือก็ได้ เคาะด้านข้างเครื่อง ด้านหลังเครื่อง ด้านบนเครื่อง อย่าเคาะหน้าจอนะครับ เพื่อดูว่าภาพนั้นยังปกติดีหรือไม่ ในขณะที่เคาะ ภาพมันจะกระตุกเล็กน้อยเหมือนภาพล้มอันนี้ปกตินะครับ และสังเกตุด้วยว่ามีเสียงอะไรผิดปกติมั๊ย เพราะบางทีพนักงานในโรงงานเค้าอาจจะทำน็อตเล็กๆตกหล่นไว้ในเครื่องก็ได้ ในโรงงานเค้าจะมีเทสแบบนี้แหละครับก่อนแพ็คลงกล่อง แต่ก็อาจจะหลุดมาถึงลูกค้าที่ซื้อใช้ตามบ้านก็ได้

เรื่อง Just ไม่ Just
Just มันไม่อ้วนตรงกลาง แต่ไปอ้วนซ้าย-ขวา เท่ากับว่าถ้าฉากที่คนอยู่ตรงกลางก็จะไม่อ้วนมาก แต่ก็อ้วนกว่าจอ 4:3 นิดหน่อย แต่คนที่อยู่ริมซ้าย-ขวาของจอ กลับอ้วนมากกว่าไม่เลือก just
อย่า กังวลเรื่องนี้เลยครับ จอไวร์สกรีน 16:9 มันเหมือนกันหมดแหละครับ เพราะสัญญาณ TV บ้านเราเป็นระบบ 4:3 พอมาดูกับจอ 16:9 ยังไงก็ต้องยืด ให้มันยืดเท่ากันทั้งจอน่ะแหละ เดี๋ยวก็ชิน ตอนผมเปลี่ยนจากจอ CRTTV มาเป็น LCDTV ตอนแรกๆก็ไม่ชิน ดูไปๆสัก 1 – 2 เดือนก็ชินครับ ตอนนี้เวลาไปบ้านญาติที่ยังใช้จอ CRT 4:3 อยู่ ผมกลับมองว่ามันแปลกๆซะด้วยครับ

การเลือกซื้อ Plasma
จะยี่ห้อไหน ก็ได้ที่เป็น Plasma เอาที่ท่านชอบ แล้วใช้ให้เป็น จริงแล้วมันมีแค่ 3 อย่างที่ต้องเลือก และ 1 อย่างเท่านั้นที่ต้องเรียนรู้
3 อย่างที่ว่าก็คือ . . . . . . . 1.เลือกรูปทรงที่ท่านชอบจะยี่ห้อไหนก็ได้ที่เป็น Plasma 2.เลือกที่สะท้อนน้อยสุดเท่าที่ท่านรับได้ 3.เลือกแนวภาพ สีสัน สไตล์ที่ท่านชอบ
1 อย่างที่ต้องเรียนรู้ก็คือ . . . การป้องกันจอไหม้ กับการล้างจอไหม้

หลักการพื้นฐานการปรับค่าต่างๆของ TV
1.ปรับความสว่าง(Brightness) ให้สว่างมากที่สุด แต่อย่าให้จ้า
2.ปรับความเข้ม(Contrast) ให้สีดำดำมากที่สุด แต่อย่าให้ดำจม และสังเกตุสีขาวก็อย่าขาวจ้าเช่นกัน
3.ปรับสี(Color) ให้แจ๋น แต่อย่าให้สีเหลือมซ้อนกัน
4.ปรับความคมชัด(Sharpness) ให้ตัวหนังสือคมมากที่สุด แต่อย่าให้ Noise มันออกมาด้วย
ส่วนฟังก์ชั่นอื่นพวก Dynamic Contrast , Dynamic Color มันเป็นลูกเล่นเพิ่มเติมครับ
* Source input คนละ Source สัญญาณภาพมาไม่เหมือนกัน และเครื่องเล่นคนละแบรนด์ก็มาไม่เหมือนกัน ต้องลองปรับละเอียดด้วยตัวเอง

การเลือกซื้อจานดาวเทียม
จานชัดกว่าเสาก้างปลา และหนวดกุ้ง จานติดตั้งง่าย ไม่ต้องขึ้นเสาให้สูง เวลามีปัญหาก็ง่ายในการซ่อมบำรุง
1.เลือกจานแบบที่ท่านชอบหลายๆรุ่นก่อน แล้ว
2.ดูว่าขนาดจานรุ่นไหนติดกับที่บ้านท่านได้
3.สำคัญ ที่สุด เลือกจานที่มันอัพเฟิร์มแวร์ได้ด้วยตัวเอง เพราะพวกจานมันจะอัพอยู่เรื่อยๆ เพื่อแก้ปัญหาสัญญาณที่ไม่ดี หรือเพิ่มช่องมาให้เรื่อยๆ ถ้าไม่อัพอัตโนมัติ ท่านก็ต้องยกไปที่ร้านเพื่อให้เค้าอัพให้ บางร้านก็คิดค่าอัพตั้งแต่ 100-300บ. แล้วแต่รุ่น แล้วแต่ยี่ห้อ แต่ส่วนใหญ่ร้านที่ท่านซื้อเค้าจะอัพให้ฟรี แล้วถ้าบังเอิญร้านที่ท่านซื้อเกิดเลิกกิจการ ทีนี้ท่านเอาไปอัพที่ร้านอื่นมีค่าใช้จ่ายแน่นอน ที่สำคัญมันเสียเวลาครับ

เครื่องกรองไฟ
ถ้าไฟไม่ดับบ่อย ไม่กระชากบ่อย ไม่ตกบ่อย แค่จัดเฟสให้ตรงก็เพียงพอแล้วครับ
ง่ายๆ DIY แค่กลับสายไฟ ถ้า TV ให้ดูว่ามันมีผลกับภาพหรือไม่ ถ้ามีผลก็เอาภาพอันที่ดีที่สุด
ถ้าป็นเครื่องเสียง กลับสายไฟ แล้วลองฟังดูว่าแบบไหน เบส กลาง แหลม อันไหนมันให้รายละเอียดกว่ากัน
ผมเคยทำโรงงาน OEM ที่ทำทั้ง TV , HT ส่งออกทั่วโลก ไม่เห็นเค้าต้องกรองอะไรเลย บางเดือนบางช่วงไฟตก
ไฟดับบ่อยก็มี บางครั้งไฟเกินจนเครื่องมือวัดพังพรึบพร้อมกันหลายเครื่องก็มี
เครื่องกำเนิดสัญญาณวิดีโอ ASTRO Video Pattern Generator ราคาเครื่องละ 2xx,xxx เกือบทุกโรงงานใช้ยี่ห้อนี้ครับ
โรงงานลงทุนหลัก 100ล้าน+ เค้าไม่เห็นให้ความสำคัญเรื่องนี้เลยครับ
โรงงานไม่ได้กรองไฟในขณะผลิต นั่นก็แปลว่า TV หรือเครื่องเสียงเหล่านั้น ก็จะยังถูกปรับตั้งค่ามาไม่ดีที่สุดน่ะสิครับ
ผมเคยไปดูงานที่ Taiwan เพื่อนำกลับมาทำโปรเจคยักษ์ เป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุด ยอดขายมากที่สุดในเกาะไต้หวัน
และทันสมัยที่สุด ทำทุกอย่างตั้งแต่หม้อหุงข้าว , TV , HT , SAT , SetTop Box , PC , Panel , ตู้เย็น ,
เครื่องซักผ้า , Air Condition ทำทุกอย่างที่ใช้ไฟฟ้า โรงงานเค้ายังไม่กรองระบบไฟเลยครับ
Power Supply ของ TV , เครื่องเสียง บางรุ่นกลับเฟส แล้วไม่มีผลอะไรเลยก็มี แต่ส่วนใหญมีผลนะครับ
บางสิ่งบางอย่างมันเหนือกันนิดเดียว แต่ถ้าไม่มีผลอย่างชัดเจน น่าจะเก็บแค่ความรู้ไว้ก็พอ
จะตามให้ถึงที่สุดน่ะ ไม่มีทางครับ เทคโนโลยีมันจะออกมาให้เราเสพไปเรื่อยๆไม่มีที่สุดแน่นอน
แผ่น BD , HD , CD แท้ + เครื่องเล่นดี + สายสัญญาณที่ได้มาตราฐาน + การจัดวางสายที่ถูกต้อง
ภาพและเสียงที่ได้มันก็เยี่ยมยอดอยู่แล้วมิใช่หรือครับ

แต่ความสุขของคนเราไม่เท่ากัน ก็ตามแต่ใจไปแหละครับ ชิวชิว
หลักการจัดวางสายที่ทำได้ง่าย และเห็นผลก็คือ
1.สายสัญญาณต่างๆ กับสายไฟ ห้ามเดินมาด้วยกัน ห้ามเดินพาดกัน ให้แยกห่างจากกัน
2.สายสัญญาณต่างๆ อย่าเผื่อมากเกินไป ยิ่งยาว ยิ่งลดทอนสัญญาณ
3.สายสัญญาณต่างๆ อย่าม้วนเป็นวงกลม อย่าขดสายทบไป-มา มันจะเกิดสัญญาณรบกวน

*ใช้ Ferrite core ช่วยลดสัญญาณรบกวนได้ ประหยัดและหักล้างสนามแม่เหล็กได้ด้วย
ขอบคุณ ข้อมูลทั้งหมดจากคุณ fmt ซึ่งเป็นคนเขียนบทความไว้ที่ LCDThailand ครับ

 http://www.vpro.co.th/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-lcd-led-plasma-tv-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB/

1-หลักการเลือกซื้อ LCD, LED, Plasma TV สำหรับมือใหม่ ภาค1


หลักการเลือกซื้อ LCD, LED, Plasma TV สำหรับมือใหม่ ภาค1


TV มันคือ การดูภาพเคลื่อนไหว หรือที่เราเรียกว่าดูภาพยนต์ จำพวก DVD , Blue-ray , HD Player ตอนนี้บางรุ่น เอามาเล่นเกมส์ หรือเป็นจอคอมได้แล้วครับ เพราะมันมีฟังก์ชั่นป้องกัน+ล้างจอไหม้(ฟังก์ชั่นป้องกันจอไหม้ คือภาพที่แสดงบนจอแต่ละพิกเซล จะถูกเคลื่อนที่โดยย้ายจากพิกเซลเดิมวนไปเรื่อยๆ จอจึงไม่เกิดอาการรอยไหม้ครับ)
LED LCDTV & LCDTV มันเหมาะกับการเล่นเกมส์เก่าๆ(เพราะฉากหลังมันชอบซ้ำๆ ไม่เปลี่ยนฉากสักเท่าไหร่) แล้วก็เป็นจอคอม(ซึ่งจอใหญ่ๆเอามาทำจอคอม ก็เมื่อยเปล่าๆ) หรือเอามาทำเป็นจอสำหรับ Present งานน่ะหรือ สูงสุดก็ 2MPixel(1920×1080) ซึ่ง Plasma ก็มี 2MPixel และเดี๋ยวนี้ Plasma มันมีฟังก์ชั่นป้องกันจอไหม้+ล้างจอไหม้ได้แล้ว จริงๆแล้วมันฆ่า LED LCDTV & LCDTV ซะราบคราบไปแล้วล่ะครับ 555+
LCD มันก่อกำเนิดมาเป็นจอ Monitor มาแทนจอ CRT Monitor(ทำงานแบบดิจิตอล ต่างจาก CRTTV ที่เป็นแบบอนาล็อค)ที่กินเนื้อที่ แล้วด้วยช่วงแรก Plasma มันทำจอ 42″ เล็กสุด สายการผลิตยังไม่มี ต้นทุนจึงสูง ราคาขายจึงแพงตาม ผู้ผลิตต่างเล็งเห็นว่าต่อยอด LCD เป็น LCDTV ดีกว่า สายการผลิตมีอยู่แล้ว ไม่ต้องลงทุนในส่วนนี้ คุณรู้มั๊ยว่าเครื่องมือวัดบางอย่างราคาเท่ากับซื้อรถเก๋งญี่ปุ่นได้เลยนะ ครับ(เครื่องกำเนิดสัญญาณภาพ Video Pattern Generator ราคา 2xx,xxx เครื่องวัดค่าสี ค่าความสว่าง Color Analysys ราคา 8x,xxx) ใน 1 ไลน์ผลิตใช้มากกว่า 10 เครื่องเลยนะครับ สู้ต่อยอด LCD ดีกว่า แล้วโหมกระแส ข้อดีเข้าไว้ ทั้งที่จริงพูดกันคนละเรื่อง บอกว่า LCD ร้อนน้อยกว่า ประหยัดไฟกว่า ซึ่งตอนที่โหมกระแส LCDTV ที่ทำมาขายในตลาดนั้นมันแค่ 26-32″ เท่านั้น ยุคแรกนั้นกินไฟประมาณ 100-140w ที่มันกินน้อยก็เพราะตอนนั้น Contrast ratio = 800-1000 , Brightness = 200-350 ยังต่ำมาก ตอนนี้เป็นไงครับปาเข้าไป Contrast จริง(ไม่ใช่ Dynamic contrast) = 15,000:1 , Brightness = 500cd/m2 เช่น LCDTV LG 32″ 32SL80YR Dynamic contrast = 150,000:1 , Brightness = 500cd/m2 กินไฟไปที่ประมาณ 210w ครับเทียบเท่า PlasmaTV 42″ LG 42PQ60R กินไฟ 200w เองครับ ทั้งที่ Plasma ทำ Dynamic contrast = 2,000,000:1 , Brightness = 1,500cd/m2 แล้วตอนนี้ก็โดนของกันอีกDอกแล้ว โดยการจับ LCDTV ที่ถึงทางตันมาโหมกระแสความบางแบบพิชซ่าแป้งกรอบ คือมันทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว LCDTV ทีดีที่สุด Response time แบบหลอกๆก็ 1ms น่าจะต่ำสุดแล้วนะ(Plasma ทำได้ที่ 0.001ms มาตั้งนานแล้ว) Dynamic contrast = 200,000:1(Plasma ทำได้ที่ 5,000,000:1 รุ่นใหม่ๆในตอนนี้) , Brightness = 500cd/m2(Plasma ทำได้ที่ 1,500cd/m2 มาตั้งนานแล้ว) ตอนนี้โหมกระแส LEDTV(จริงๆ มันคือจอ LCD ตัวเดิม ต้องเรียกว่า LED LCDTV) มันคือการเปลี่ยนหลอด Backlight จากหลอด CCFL(ที่คล้ายหลอดฟลูโอเรนเซนต์) เป็นหลอด LED แทนเพื่อที่จะให้มันควบคุมการเปิดปิด Backlight เป็นจุด เป็นกลุ่มได้ดีกว่า LCDTV แต่ก็ทำได้ไม่ดีเท่า Plasma(Plasma มันกำเนิดแสงได้ด้วยตัวเอง ในแต่ละพิกเซล) แต่หลอด LED มีผลทำให้ประหยัดไฟดีกว่า CCFL มีวลีที่เป็นสัจจะธรรม “รถมันจะแรง ต้องให้มันกินน้ำมัน ยิ่งเซฟมันก็วิ่งไม่ออก” เช่นกันครับ “TV จะชัด ดูสบายตา ต้องให้ไฟมันกิน” เห็นรีวิวไหมครับฟังก์ชั่น Energy saving ต้อง off หรือ low ถึงจะดูได้ middle หรือ maximum ไม่แนะนำ เพราะภาพมันจะมืดดูไม่รู้เรื่อง และ Response time ของ LED LCDTV ก็ยังทำให้ต่ำกว่า 1 ms ไม่ได้อยู่ดี Brightness ทำให้สูงกว่า 500cd/m2 ก็ยังทำไม่ได้เช่นกัน แถมบางยี่ห้อทำเป็นจอกระจกซะงั้น ซึ่งเจ้ากระจกนี่แหละทำให้สีสันมันสดใสเพิ่มขึ้น เลยทำให้คิดว่า LED LCDTV มันดีกว่า LCDTV ซึ่งมันใช่รึเปล่าครับ คุณเอา LCDTV ธรรมดาเปลี่ยนเป็นจอกระจก สีสันมันก็สดใสขึ้นมาเองน่ะแหละ โดนหลอกอีกแล้ว ถ้าจะดูว่า LED LCDTV มันดีกว่า LCDTV แบบเดิมหรือไม่นั้น ผมว่าน่าจะดูของ LG ตระกูล LE5500 เพราะจอไม่ใช่กระจก เปลี่ยนแค่ Backlight เป็น LED และเพิ่ม Dynamic contrast = 5,000,000:1 , Birghtness คงจะเท่าเดิม เพราะไม่ระบุ , Response time 2.4 ms(แย่กว่าเดิมซะอีก) แต่มี 100/120Hz ต้องดูที่ตัวนี้ครับ เพราะไม่ได้ใส่จอกระจกหลอกเข้าไป มันคุ้มกับเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มรึเปล่า LED LCDTV เนี่ย เพราะดูจากสเปคแล้วเพิ่มแค่ Dynamic contrast ให้แสบตาเปล่าๆ อ้อ.เปลี่ยน Backlight จาก CCFL เป็น LED ทำให้ประหยัดไฟขึ้นอีกนิด แต่จอยังเป็น LCD เหมือนเดิมนะครับ อย่าหลงคำโฆษณา และทำให้สีดำ ดำดีขึ้น แต่ไม่เท่า Plasma แค่ดีกว่า LCDTV มันคุ้มค่าเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มแล้วหรือ ทั้งที่ Plasma มันไม่ต้องทำอะไรเลย มีอย่างเดียวที่ Plasma ต้องทำก็คือ “ลดการสะท้อน” และ Plasma มันมีแต่ถูกลง หรือราคาเดิม แต่ได้สเปคสูงขึ้น สวยขึ้น เมื่อก่อนผมก็ไม่มอง Plasma เพราะทั้งหนา ทั้งเหลี่ยมแบบทื่อๆ ทรวดทรงเชยๆ LCD ดูแล้วสวย ใครๆก็ต้องหลง ตอนนี้ใครหลายคนก็ยังหลงอยู่ ผมน่ะใช้ LCDTV อยู่ รุ่น 37LG30R ชอบมากครับ และเสียก่อนหมดประกัน 1 อาทิตย์ LG เอา Plasma 42PQ60R มาสำรองให้ใช้ โอ้!แม่เจ้า มันดูแล้วทั้งชัด สบายตา ไม่แสบ ไม่เมื่อยตา ราคาก็ถูกกว่า เราซื้อ LCDTV มาทำไม คิดในใจนะครับ 3 วันครับ LG เอา LCD มาคืน เอา Plasma กลับไป โห. .บอกกลับตัวเองเลยครับ ต้องเอา Plasma มาเป็นของตัวเองให้ได้ 2 เดือนต่อมา LG42PJ650R ก็มาอยู่ในห้องนอนครับ ดูสบายตาครับ ชัดครับ สะท้อนแสงน้อยที่สุดในรุ่น 42″ น้อยกว่า Pana(ยกเว้น 42V20นะ) น้อยกว่า SS ผมเทียบมาหมดแล้ว ราคาเบาๆด้วยครับ ความร้อนก็เหมือนกับ LCD ไม่เห็นจะต่าง
เหตุผลที่หลายยี่ห้อทำ LCD มากกว่า Plasma
LCD ถลำลงทุนกันไปเยอะแล้ว และกระแสยังแรงอยู่ เก็บกินตามกระแสดีกว่า อย่าง SS โหมอัดโฆษณา อัพรุ่นใหม่ๆมาเรื่อยๆ สเปคแบบเว่อร์ๆกว่าแบรนด์อื่น ตามด้วย LG ซึ่งโฆษณาน้อยกว่า แค่ออกดีไซน์แบบสวย โดนใจ เกาะกระแสขายดีกว่า SS อีก ที่บอกว่า LG ขายดีน่ะดูได้จากจำนวนคนเข้าแสดงความเห็นที่เวปดูสิครับ มาเข้าเรื่องดีกว่า ส่วน Plasma ต้องเพิ่มทุนในการทำให้หน้าจอมันไม่สะท้อน กำไรน้อยเพราะผลิตน้อยด้วย สร้างโมลด์ตัวนึงสำหรับฉีดหน้ากาก(Front cover) หรือแม่พิมพ์สำหรับปั๊มฝาหลัง(Rear cover) แล้วยอดผลิตขายมันน้อยนิด ก็ไม่คุ้มต้นทุน แต่ถ้าใครได้ใช้ Plasma สักครั้งจะเห็นความต่าง ทั้ง LCD และ Plasma ที่เป็น Full HD 1920*1080p มันไว้ใช้กับเล่นแผ่น Blue-Ray , HD Player และถ้าจะใช้ต่อคอม ขอบอกไม่จำเป็นเลยครับ ต่อคอมมันจะแสดงผลที่ 1920*1080 หรือ 2ล้านพิคเซล แต่เอาความจริง คนไม่ปกติเท่านั้นแหละที่ใช้จอใหญ่ๆมาเป็นจอคอม ต้องส่ายหัว กวาดสายตาจนคอเคล็ดเลยนะ จอคอมแค่ 22-23″ ก็สุโค่ยแล้ว จอ Plasma 1024*768 HD Ready มีพอร์ต HDMI ก็เท่ากับว่าจอ Plasma ตัวนี้สามารถแสดงผลที่ 1920*1080p ได้โดยการดาวน์สเกลลงมาที่ 720p ภาพชัดพอๆกับ Full HD แยกแทบไม่ออกเช่นกัน เปิด Blue-Ray , HD Player กับ Plasma ที่มีพอร์ต HDMI ได้อย่างสบายๆ และถ้าเปิด DVD 720p ทั่วไป จอ HD Ready จะได้ภาพที่ชัดกว่าจอ Full HD นะครับ
ขนาดจอ(นิ้ว)เท่ากัน ดู TV ได้แบบสบายๆตา . . . . . Plasma สบายราคากว่า
ขนาดจอ(นิ้ว)เท่ากัน ดู TV ได้แบบสเปคเทพ . . . . . Plasma ราคาแพงกว่า แบบไม่อยากแตะ
ดู PIONEER สิ ทำแต่ PlasmaTV ขาย สเปคต่ำสุดของเค้าราคาร่วม 80,000บาท เวลารีวิวยังใช้ฉากพระจันทร์ตอนกลางคืนของ Pioneer รีวิวทุกครั้งเลย
PlasmaTV เหมาะกับการดู TV , DVD , Blue-Ray , HD Player และ Game หรืออะไรที่มันเคลื่อนไหวน่ะแหละ ให้ภาพที่สวย สมจริงเป็นธรรมชาติ สบายตา ไม่แสบตาแน่นอน รีวิวเล่นเกมส์กับ 3D Plasma Pana 50VT20(http://www.lcdtvthailand.com/review/detail.asp?desc=2&param_id=638)
LEDTV(จริง แล้วก็คือจอ LCD) , LCDTV มันเหมาะที่จะเป็นจอคอมเท่านั้น ส่วนการเพิ่ม TV มันเป็นแค่ต่อยอดเท่านั้น ขอย้ำว่า “เท่านั้น” จริงๆ
จอกระจกสำหรับ LED LCDTV
จริง แล้วจอ LCD มันเป็นกระจกทุกตัวครับ แต่ขบวนการผลิตสุดท้ายเค้าต้องฉาบ(coating)ให้มันไม่สะท้อน เพื่อเป็นจุดขายตอนที่มาแทนที่ CRT Monitor และตอนนี้ LED LCDTV เกือบทุกรุ่นหันมาใช้จอกระจกเพราะคงต้องการเปลี่ยนจุดขาย ซึ่งต้นทุนจอถูกลงด้วยซ้ำ เพราะตัดขั้นตอนการฉาบ(coating)จอออกไป ทำให้แสงและภาพไปออกที่หน้าจอง่ายกว่าเดิมต่างหาก ส่งผลให้ Contrast Ratio สูงขึ้นแบบสุดลิ่ม บางรุ่นนะครับ Dynamic Contrast 10,000,000:1 ไปนั่นเลย และใน LCDTV ของ SS รุ่นที่เป็น Crystal Design ก็ใช้จอกระจกทำให้สีสันสดใส แล้วเพิ่มราคาเข้าไปซะ ทั้งที่ต้นทุนจอลดลง คนไทยตามไม่ทันครับ และในบางกระทู้มีคนบอกว่ามันมองด้านข้างแล้วสีสันซีดลงด้วย รุ่น 40B650 น่ะครับถ้าจำไม่ผิด ดูจากลิงค์นี้นะครับ ผมจะยกตัวอย่างให้ดู (http://www.lcdtvthailand.com/spec/compare-spec.asp) Dynamic Contrast ของ 40B650(จอกระจก) 100,000:1 & 40B610(จอด้าน) 80,000:1 และอีก2รุ่น LA40C650(จอกระจก) 150,000:1 & 40C630(จอด้าน) 120,000:1 จะเห็นว่าแค่ใส่จอกระจก Dynamic Contrast มันก็เพิ่มเองอยู่แล้วครับ
* ข้อสังเกตุ ทำไมจอ LED LCD Monitor(LED Monitor) กลับไม่ใช้จอกระจก เห็นใช้แต่จอด้าน
LED LCDTV ราคาควรถูกกว่า LCDTV เพราะตัด Process coating ออกไป เปลี่ยน Backlight เป็น LED , LED เป็น Semi-conductor ที่มีมานานแล้ว ไม่ใช่ของใหม่ หลอด LED ราคาปลีกที่บ้านหม้อน่าจะตัวละ 2 บ.ได้มั๊ง แต่ถ้าโรงงานซื้อมาผลิตราคาไม่เกิน 0.50 บ.แน่นอน
ถ้าเป็น OLED , AMOLED หรือ Super AMOLED ก็ว่าไปอย่าง นี่คือเทคโนโลยีใหม่ของจอจริงๆ แต่ที่เค้ายังไม่นำมาก็เพราะ อายุใช้งานของจอมันสั้นมาก และเสียง่ายไม่แน่นอน(not stable) และนี่คือความพยายามพัฒนาจอ OLED Mitsibishi 155″ http://www.lcdtvthailand.com/news/detail.asp?param_id=640
ระบบ TV มี 2 ระบบ
โดย การสแกน 2 ครั้ง แล้วรวมกันเป็นภาพ เรียกว่า Interlace Scan โดยสแกนเส้นคี่ก่อนแล้วตามด้วยเส้นคู่ [สแกนเส้นคี่ 1 +เส้นคู่ 1 = 1ภาพ]
1.PAL/SECAM 50Hz = สแกนเส้นคี่ 25 ภาพ + เส้นคู่ 25 ภาพ = 25ภาพ/50Hz(วินาที) . . . Movie Resolution 625 เส้น
2.NTSC 60Hz ——- = สแกนเส้นคี่ 30 ภาพ + เส้นคู่ 30 ภาพ = 30ภาพ/60Hz(วินาที) . . . Movie Resolution 525 เส้น
ระบบ DVD , HD , BD มี 2 ระบบ
1.Interlace scan สแกน 2 ครั้งโดยเส้นคี่ก่อนแล้วตามด้วยเส้นคู่ แล้วรวมกันเป็นภาพ เหมือนกับTV 480 i , 576i , 720i , 1080i
2.Progressive scan สแกนครั้งเดียวแบบเส้นที่1-480p/576p(DVD) , 1-720p(HD) , 1-1080p(Full HD) การสแกนครั้งเดียวเดียวของ Progressive ทำให้ภาพคมชัดกว่าระบบ Interlace scan
ระบบ Trumotion , Motion Flow in LCD Panel
สัญญาณภาพที่ป้อนให้จอ LCD จาก 0 -> High1 -> High2 -> 0 -> Delay time -> Low1 -> Low2 -> 0
ค่า Delay Time เป็นที่มาของค่า RT(Response Time) ที่สูงกว่า Plasma
ค่า RT สูง ทำให้ภาพเคลื่อนไหวเร็วๆในฉากแอ็คชั่นมันไม่ไหลลื่น จนเป็นเงาวิ่งตาม หรือที่เรียกว่า Ghost
จอ LCD แทรกเฟรมแบบ Plasma ไม่ได้เพราะ ยิ่งแทรกจะยิ่งเห็นเงาวิ่งตาม
Trumotion หรือ Motion Flow จึงถูกนำมาใช้ด้วยหลักการดังนี้
สร้าง ภาพแบบป้อนสัญญาณ Double เข้าไป แล้วให้มันประมวลผลภาพแบบ Shift Phase หรือ Reverse Phase เพื่อมาชดเชยส่วนที่เกิด Delay time เพื่อให้สัญญาณมันวิ่งจาก High -> Low ให้เหมือน Plasma
100/120Hz = Double 1 ครั้ง จาก 50Hz
200/240Hz = Double 1 ครั้ง จาก 100Hz
400/480Hz = Double 1 ครั้ง จาก 200Hz
เทคนิค ชดเชยค่า Delay time ตรงนี้แต่ละยี่ห้อก็จะใช้หลักการ Shift Phase หรือ Reverse Phase แต่จะเซตค่าให้ Shift หรือ Reverse แค่ไหน แล้วภาพออกมาไหลลื่นเป็นธรรมชาติกว่ากัน ก็ต้องลองดูเอาครับ มันเป็นความลับที่ทุกยี่ห้อ ไม่ยอมเปิดเผย
เทคนิคนี้ช่วยแก้ปัญหาให้ภาพดูไหลลื่นขึ้น แต่จะไม่เป็นธรรมชาติ โดยสังเกตุได้จาก
1.ตัวหนังสือวิ่งด้านล่างของรายการ TV จะวิ่งไม่เป็นปกตินัก
2.หน้าของนักแสดงที่หันแบบเร็ว จะเห็นความไม่เป็นธรรมชาติ รวมถึงฉากแอ็คชั่นที่เร็วๆด้วยครับ
ระบบ 600Hz Max Sub-Field Drive in Plasma
เป็นการแทรกเฟรม 12ภาพ/Hz = 12ภาพ x 50Hz = 600ภาพ/50Hz(วินาที)
สัญญาณ ภาพที่ป้อนให้จอ Plasma จาก 0 -> High -> 0 -> Low สัญญาณวิ่งจาก High -> Low เร็วมาก(ใกล้เคียง CRT) ทำให้ค่า RT น้อยมาก
Plasma มีค่า RT 0.001ms ทำให้ภาพเคลื่อนไหวเร็วๆในฉากแอ็คชั่นไหลลื่นเทียบเท่า CRTTV ที่ไม่มีค่า RT อยู่แล้ว
Plasma ไม่มีค่า Delay time จึงใส่ 600Hz Max Sub-Field Drive ได้ทันที ไม่ต้องกลัวจะมีเงาวิ่งตาม
RT 0.001ms + 600ภาพ/วินาที ทำให้ภาพมันนิ่งไม่กระพริบ จนตาเราเห็นว่าภาพมันดูสบายตา
แต่ฉากแพนกล้องแล้วฉากหลังกระพือนั้น เนื่องมาจากองค์ประกอบ 4 อย่าง ดังที่ยกตัวอย่างให้ฟังไว้แล้วครับ
สัญญาณ ภาพที่ป้อนให้จอ LCD กับ Plasma เป็นสัญญาณตัวเดียวกัน แต่ผลที่มันแสดงออกมาที่จอ มันต่างกันตรงที่จอ LCD มันเกิด Delay time และมีกระตุกที่ High 1,2 , Low 1,2 ด้วย
จาก 0 -> High1 -> High2 -> 0 -> Delay time -> Low1 -> Low2 -> 0 ค่า Delay Time เป็นที่มาของค่า RT ที่สูง
การ แทรกเฟรมใน LCD ธรรมดา ไม่ช่วยให้ภาพที่ได้ไหลลื่นขึ้น เพราะแทรกเฟรมอย่างเดียวมันก็จะมีค่า Delay ซ้อนกันไปเรื่อยๆ จึงต้องใช้วิธี Shift phase คือเอาภาพส่วนที่ไม่ Delay จากเฟรมที่แทรกมาชดเชยส่วนที่ Delay ของภาพแรก และทำแบบนี้หลายๆเฟรมที่แทรก ก็จะทำให้ภาพที่มี Delay มันลดลง ดังที่เราเห็นว่ามันไหลลืนขึ้น แต่การไหลลื่นยังไม่เท่า Plasma ก็เพราะการประมวลผลมันมีค่า +/- ในตัวอยู่ด้วย ซึ่งบางครั้งประมวลผลมาทางบวก อีกพักนึงมาทางลบ ทำให้ตาเราเห็นว่ามันไม่ปกติ แล้วยังค่า High1,2 , Low1,2 ที่มันเป็นสเตปอีกล่ะ และบางค่ายก็ใช้วิธี Scanning Backlight ร่วมด้วยอีก
Plasma ไม่มี Delay time ทำให้ไม่ซับซ้อนในการแทรกเฟรม คือแทรกอย่างเดียว 12เฟรม/Hz ไม่ต้องเอาสัญญาณมาชดเชย ค่า RT น้อยมากใกล้เคียงกับจอ CRT อยู่แล้ว บวกกับแทรกเฟรมเป็น 600เฟรม/วินาที ทำให้เหมือนเสือติกปีกอ่ะครับ
Plasma มันคุมแสงเปิดปิดได้ด้วยตัวมันเองทุก pixel แต่ LED LCDTV มันทำไม่ได้ครับ ต่อให้ Full LED ก็เถอะ ยังไงแสงก็ต้องรั่ว
ตัวอย่างเรื่องฉากแพนกล้องแล้วภาพกระพือ
หลัง จากเมื่อวานติดต่ออาจารย์ คือท่านเคยเป็นอาจารย์ในมหา’ลัยแห่งหนึ่งใน กทม. แล้วมารู้จักกันที่โรงงาน ท่านมาเป็น Duty Manager Engineer
1.Pana 50V20T เป็นจอ 1080pแท้ ดูได้จากเวป Pana ตรง Applicable Scanning Format Full-HD http://www.panasonic.co.th/web/pid/9151/Spec
2.HD Player เป็น 1080pแท้แน่นอนอยู่แล้ว
3.สาย HDMI ต้องรองรับ 1080pเช่นกัน น่าจะเป็น v.1.3a หรือ v.1.3b ขึ้นไป
4.แผ่น HD ที่นำมาเล่น ไม่ใช่ 1080p แน่นอน เพราะอาจารย์บ้าดูหนังมาก ท่านบอกว่าแผ่น HD 1080pแท้ มีออกมาขายช่วงแรกช่วงสั้นๆแค่ไม่กี่เรื่อง แล้ว BD ก็มา ทำให้ผู้ผลิตหันมาผลิต 1080pแท้ กับ BD 2,xxxบ. และตอนนี้เจ้า BD ก็ไม่น่าเล่นแล้ว ควรเล่นพวก Box ต่างๆ เพราะอีกหน่อยหนังเค้าจะทำใส่ Flash Drive ขายกันแล้ว เพราะราคา Flash Drive ถูกลงมาก ประกอบกับ USB3.0 ก็มาแล้ว ซึ่ง Transfer Rate เร็วกว่า USB2.0 ตั้ง 10 เท่า ภาพที่เล่นผ่าน Box USB3.0 มันจะคมชัด ไหลลื่นแค่ไหนลองคิดดูครับ และราคาถูกกว่าซื้อแผ่นแน่นอน
LCD มี Trumotion ซึ่งเป็นวงจรช่วยสร้างภาพให้ดูไหลลื่น แต่ภาพที่ได้มันจะดูลอยๆหลอกตาไม่เป็นธรรมชาติ
ถ้าใส่ Trumotion กับ Plasma มันใส่ไม่ได้ครับ Plasma ไม่มี Delay time นี่ครับ
ปัญหาที่แท้จริงมันอยู่ที่ แผ่น HD ไม่ใช่ 1080pแท้ ถ้าเอาแผ่นที่เป็น 1080pแท้ มาเล่น ก็จะไม่เจอปัญหานี้
จะข้อร้องให้ผู้ผลิต Plasma ใส่ Trumotion ดี หรือร้องขอให้ผู้ผลิตแผ่นทำเป็น 1080pแท้ดีครับ
จอ LCD มีปัญหาเรื่อง Response Time ที่แก้ไม่ได้ ทำให้ฉากแอ็คชั่น ฉากรถแข่ง ไม่ไหลลื่นเท่า Plasma และได้คิดค้น Trumotion มาช่วยทำภาพให้มันดูไหลลื่นขึ้น แต่ลอยๆไม่เป็นธรรมชาติ โดยมีฟังก์ชั่นให้เลือก 3 แบบ Low ,Middle , High(ดูไหลลื่นกว่า Low แต่ภาพออกลอยๆไม่เป็นธรรมชาติ)
ถ้า Trumotion ไหลลื่นเป็นธรรมชาติ เค้าคงใส่แบบ Max มาแล้วล่ะ คงไม่ต้องให้มาเลือก Low , Middle , High แบบนี้หรอกครับ
จอ LCD มีค่า Response Time < 12ms ก็เพียงพอกับการับชม FreeTV แต่จะไม่ไหลลื่นในฉากแอ็คชั่นเท่า Plasma
ถ้าจะเล่น LED LCDTV & LCDTV ควรเล่น Toshiba ถึงแม้ค่า RT 8ms แต่ใส่ 14bit กับ 200Hz ภาพที่ได้ชัดลึก สีสันสดสวย ไหลลื่นดีกว่า
ข้อมูลเล็กๆที่อาจจะไม่มีค่าใดๆเลยกับบางท่าน แต่อาจจะสำคัญกับบางท่านที่ชอบความจริง ไม่ลอย แต่เป็นธรรมชาติ
Deep Color(bit)
LED LCDTV / LCDTV
Toshiba . . . . . . . . . . . . . . . . . 10-14bit
Pana , SS , LG , Sony , อื่นๆ . . . . 8-10bit
Sharp . . . . . . . . . . . . . . . . . . 10bit
Plasma
SS . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 18bit
LG . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 16bit
Pana . . . . . . . . . . . . . . . . . . . 12bit
* bit ยิ่งสูง ทำให้ภาพมีสีสันฉูดฉาด มีมิติลึกล้ำ
มุมมองของจอภาพ
LED LCDTV/LCDTV
- Pana & LG . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . ใช้จอแข็ง IPS & S-IPS . . . มองด้านข้างก็ยังชัด สีสันไม่ซีด
- SS , Sony , Toshiba , TCL , Sanyo , Pilips , อื่นๆ . . . ใช้จอนิ่ม PVA . . . . . . . . . มองด้านข้าง มีสีซีด เพี้ยนลง แต่มองตรงกลางสีจะสดกว่าจอแข็งเล้กน้อย
PlasmaTV
- ทุกแบรนด์ ใช้หลักการเดียวกัน . . . . . . . มองได้ทุกมุม เหมือนจอ CRT ไม่มีซีด สีสันไม่เพี้ยน
Plasma Pioneer มาถูกทาง แต่ผิดเวลา
ท่าน ที่เคยเห็น Plasma Pioneer ต่างบอกว่ามันเทพมาก(มากกว่า Sony Trinitron หรือเปล่าล่ะเนี่ย) ทุกคนอยากได้ แต่ราคา 8x,xxx – 3xx,xxx —> ทุกคนบอกไม่เอาดีกว่า ถอยดีกว่า
ตอนนี้ LED LCDTV ตัวที่แพงสุด 2xx,xxx หลายท่านบอกว่าอยากได้มันเทพมากๆ ราคาไม่แพงเลย สมราคามาก แอบขำ
Pioneer เครื่องละ 1xx,xxx ภาพยังเหนือกว่า LED LCDTV ตัวเทพสุด แบบไม่เห็นฝุ่นเลยด้วยซ้ำ
Pioneer ตอนนั้นมาแบบผิดจังหวะ ผิดเวลา คุณ xta บอกว่าตอนนี้ Pioneer ไม่ทำ Plasma แล้ว แอบเสียดาย กลับมาทำราคาเดิม แล้วเปลี่ยนรูปทรง ให้โดนใจเวลานี้ น่าจะเหมาะแล้วล่ะครับ
แอบลุ้น Pioneer อยู่ครับ
Plasma ตอนนี้แก้จุดบอดหมดแล้วครับ
วินาที นี้ไม่มีจออะไรมาเทียบแล้วครับ ใช้ nx700 ยังดูหนังได้แค่เรื่องเดียว ต้องพักสายตา Plasma ดูได้ไม่มีล้าลูกตาแน่นอน ดูจนคุณหลับแล้วตื่นมาดูต่อจนหลับอีก ก็ยังสบายตา ผมก็เป็นเหมือนคุณ yubaba ครับ ยังมีท่านอื่นอีกนะครับ ที่เป็นแบบนี้ แต่ขี้เกียจหาลิงค์ ลองหาอ่านไปเรื่อยๆดูครับ ต้องคนที่เคยใช้ทั้ง Plasma & LED LCDTV นะครับ ประเภทที่ไม่เคยใช้ Plasma ตอบไม่ได้หรอกครับ แค่เอาความรู้สึกตอนไปดูตามห้างมาคิดว่า LED LCDTV ชัดกว่านั้น มันวัดกันไม่ได้ ถามว่าคุณซื้อเจ้า LED LCDTV หรือ Plasma ไปดูที่บ้าน คุณเปิดไฟดูสว่างเต็มที่เหมือนในห้างเหรอครับ แล้วคุณจะซื้อเจ้า LED LCDTV ที่มันสู้แสงได้เยอะไปทำไม หรือคุณๆท่านๆเอาไปดูในสวนหน้าบ้านท่าน ท่านไม่ได้ดูในบ้านหรือครับ เมื่อก่อนผมใช้ LCDTV ผมดูได้ 2 ชม.กว่าๆก็ล้าลูกตา แสบตาไปหมด ผมยังไม่เคยมี Plasma เป็นๆมาดูในบ้าน ก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุว่าทำไมชอบแสบตา ล้าลูกตา ยังคิดว่าเพราะเราเป็นภูมิแพ้ ไม่ได้คิดว่าเป็นเพราะ LCDTV แต่พอ LG เอา Plasma มาสำรองให้ดูแทน LCDTV ที่ส่งซ่อม ก็เลยเข้าใจ และกล้าพูดได้เต็มปากครับ
*PlasmaTV ปี 2010 ขึ้นไป(Dynamic Contrast 3,000,000:1+) ดีกว่า LED LCDTV & LCDTV
*อยากให้ฉุกคิดสักนิดกับเงินที่ต้องจ่าย กับความสุขที่สมเหตุผล
ผม เคยไปลองฟังเสียงลำโพงรถยนต์ที่ร้าน Mirace ยี่ห้อ Performance ราคาคู่ละ 4,900 กับยีห้อ Prism คู่ละ 9,900 ความนุ่มลึกของเบสราคา 9,900 ฟังแล้วนุ่มลึกกว่า แต่ 4,900 มันก็นุ่ม แต่ลึกน้อยกว่านิดนึง ผมถามเจ้าของร้านว่า”เสียงมันต่างกันแค่นิดเดียว ไม่ต่างจนเด่นชัด ทำไมราคามันต่างซะขนาดนั้น” เค้าตอบว่า “ก็มันแค่นิดเดียวนี่แหละ แต่ยี่ห้อนั้นทำไม่ได้น่ะสิ ยี่ห้อนี้เค้าทำได้ เค้าก็เลยมีสิทธิที่จะขายราคานี้” เป็นคำตอบที่เคลียร์จริงๆ
ขึ้นอยู่ที่ท่านแหละครับเงินอยู่ในกระเป๋าท่าน ข้อมูลจะเคลียร์ชัดแค่ไหน ก็มิอาจง้างความต้องการในใจของใครได้
แค่เราใช้ทุกอย่างแบบพอเพียง = เราไม่เพิ่มขยะ = รักษ์โลก = รักครอบครัว รักคนที่เรารัก

แหล่งที่มา
 http://www.vpro.co.th/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD-lcd-led-plasma-tv-%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB-2/

Saturday, August 3, 2013

ไลฟ์สไตล์ออร์แกนิกพิชิตภูมิแพ้

ไลฟ์สไตล์ออร์แกนิกพิชิตภูมิแพ้

คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่กินยาแก้แพ้เป็นประจำ วันไหนไม่ได้กิน อาการผื่นคันหรือน้ำมูกไหลจะตามติดประชิดตัว จนไม่มีจิตใจอยากจะทำงาน หากรู้สึกเบื่อหน่ายการกินยาและไม่อยากทรมานกับอาการภูมิแพ้ เรามีผู้ป่วยตัวจริงเสียงจริงที่สามารถพิชิตโรคร้ายนี้ได้จนอยู่หมัด โดยปรับไลฟ์สไตล์มาเป็นแนวทางออร์แกนิกแบบเต็มร้อย ซึ่งนอกจากทำให้โรคนี้หายไป ยังทำให้เธอสวย อ่อนวัยจนใครๆอิจฉา

 

โตแล้วก็แพ้ได้
นับตั้งแต่จำความได้ คุณปอน-วิตราภรณ์ พิมพลา อายุ 36 ปี ไม่เคยมีอาการแพ้อาหารทะเลเลย แต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ขณะทำงานด้านบัญชีคอมพิวเตอร์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เธอกลับป่วยด้วยโรคนี้

"หลังกินอาหารทะเลแล้ว มีอาการคันและผื่นขึ้นทั่วตัว ทั้งแขน ขา ลำตัว ยกเว้นใบหน้า กลางคืนนอนไม่ได้เลย เพราะคันมาก โดยเฉพาะแผ่นหลังที่ถูกกดทับ ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นเลย ตอนเช้าจึงไปพบคุณหมอด้านผิวหนัง คุณหมอบอกว่าเป็น โรคภูมิแพ้ และให้ทำสกิน เทสต์ (Skin Test) ปรากฎว่า เราแพ้อาหารแทบทุกอย่าง โดยเฉพาะกุ้งแห้ง ก็งงว่า เราไม่ค่อยได้กินกุ้งแห้ง แล้วจะแพ้ได้อย่างไร แต่หมอบอกว่า อาจจะแพ้ซัลเฟอร์ หรือกำมะถันในกุ้งแห้ง สารนี้เป็นตัวช่วยดูดซับความชื้นช่วยให้อาหารแห้ง พบทั่วไปในอาหารแห้ง"
แม้จะปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัดคือ กินยาและหลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มที่แพ้ แต่ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ทำการรักษา อาการคันและเห่อบวมทางผิวหนังกลับไม่หายไป
"เรากินยาจนถึงโดสสูงสุดที่ร่างกายรับได้แล้ว แต่ก็ยังมีอาการคันอยู่ คุณหมอเลยบอกว่า ต้องเปลี่ยนจากกินยาเม็ด เป็นฉีดยาแทน เพราะเรามีภาวะดื้อยา ต้องมาฉีดทุกอาทิตย์ นาทีนั้นเอง ที่รู้สึกว่า รับไม่ได้ เรากำลังจะกลายเป็นคนป่วยเต็มขั้น"
สู้ภูมิแพ้ด้วยวิถีออร์แกนิก
นอกจากนี้ การฉีดยาต้องฉีดติดต่อกันถึง 5 ปี และระหว่างฉีดยายังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ เพราะจะทำให้ทารกในครรภ์พิการ ซึ่งคุณปอนเองก็วางแผนว่าจะมีลูก และที่สำคัญเมื่อเธอถามคุณหมอว่า ถ้าฉีดยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น จะมีวิธีรักษาอย่างไรต่อไป คุณหมอตอบกลับว่า "หมอก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว" จึงเป็นที่มาให้เธอเลือกการรักษาด้วยแนวทางอื่นๆ

คุณปอนตั้งต้นด้วยการอ่านหนังสือสุขภาพหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น นิตยสารชีวจิตโดยฝากให้คุณแม่ซื้อแล้วส่งมาให้ที่สหรัฐอเมริกา อาหารแมคโครไบโอติกส์ รวมถึงวิถีออร์แกนิกซึ่งเป็นแนวทางการผลิตอาหารที่คำนึงถึงธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และไม่ใช้สารเคมีทุกชนิดในกระบวนการผลิต จึงทำให้ได้อาหารและผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย
เริ่มต้นจากอาบน้ำเปล่าแบบไร้สารเคมี
การอ่าน หนังสือสุขภาพทำให้คุณปอนทราบว่า การกิน การใช้ ผลิตภัณฑ์หรืออาหารที่มีสารเคมี แม้มีปริมาณสารเคมีเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อได้รับหลายๆชนิดร่วมกันจะกลายเป็นพิษที่รุนแรง ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคภูมิแพ้ เธอจึงลองหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ทำจากสารเคมีตามคำแนะนำของ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง

"ลองอาบน้ำด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียว แล้วใช้ใยบวบถูตัว ระหว่างนั้นก็ลดการกินยาลง ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ก็ไม่เกิดอาการแพ้ เลยทดลองอาบน้ำเปล่าเหมือนเดิม แต่ค่อยๆลดปริมาณยาลง จนไม่กินเลย ครบหนึ่งเดือน ไม่มีอาการแพ้เลย ทั้งๆที่เมื่อก่อนถ้าไม่กินยาแค่มื้อเดียว อาการมาเลย"
เมื่ออาการภูมิแพ้ดีขึ้น คุณปอนด์จึงเชื่อมั่นว่า อาการภูมิแพ้ของเธอน่าจะเกิดจากการได้รับสารเคมีในชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน จึงมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตตามวิถีออร์แกนิกอย่างเต็มขั้นซึ่งมาเริ่มต้นเมื่อ กลับมาถึงเมืองไทย
กินเปลี่ยนโรค
เพราะเป็นคนชอบทำอาหารและไปเรียนด้านนี้เพิ่มเติมมา คุณปอนจึงพิถีพิถันในการเลือกซื้อและปรุงอาหารมากเป็นพิเศษ

"จะให้ความสำคัญกับการซื้อข้าวมากค่ะ เพราะเป็นอาหารที่เราต้องกินทุกวัน จะเลือกซื้อข้าวอินทรีย์ รวมถึงผัก ผลไม้ และเครื่องปรุงรส เช่น ซีอิ๊ว น้ำตาล ด้วยนะคะ ซึ่งทุกชนิดจะมีที่ผลิตแบบอินทรีย์ แต่ไม่ว่าจะเลือกซื้ออะไร สิ่งสำคัญคือ ควรจะพลิกอ่านฉลากด้านหลังเพื่อดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง มีการใส่สารกันบูด หรือสารสังเคราะห์ใด ๆ เป็นส่วนผสมหรือเปล่า ซึ่งสารพวกนี้เป็นอันตรายมาก"
การกินอาหารออร์แกนิกนั้น นอกจากจะปราศจากสารเคมีตกค้างแล้ว คุณปอนยังเล่าว่ามีงานวิจัยหลายเรื่องยืนยันว่า ผักผลไม้ออร์แกนิกมีสารอาหารและรสชาติที่ดีกว่าผักผลไม้ทั่วไป โดยเธอมีแหล่งช็อปประจำอยู่ที่ เลมอนฟาร์ม และตลาดนัดสีเขียวซึ่งกระจายอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ นอกจากนี้ เธอยังบอกเคล็ดลับกินให้อร่อยและสลายโรคภูมิแพ้ของครอบครัวว่า
" ควรทำอาหารแบบวันต่อวัน เน้นทำสด ใหม่ สะอาด และต้องปรุงให้สุก ถึงจะเป็นอาหารออร์แกนิกส์หรือเกษตรอินทรีย์ก็ตาม ไม่ควรเก็บค้างคืน เพราะเวลาเราเก็บเข้าตู้เย็น แม้จะมิดชิดขนาดไหน เชื้อโรคก็สามารถสอดแทรกเข้าไปได้ "
ฉลาดใช้ ฉลาดทำผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก
นอกจากเลือกกินอาหารแล้ว คุณปอนยังดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากสารเคมี ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมาดูแลสุขภาพตนเองด้วย อย่างเช่น การล้างหน้า คุณปอนจะล้างหน้าด้วยผัก ผลไม้ออร์แกนิกที่ซื้อมา

"ตอนเย็นจะฝานส้มเขียวหวานเป็นแว่นบางๆ แช่ตู้เย็นไว้ พอตอนเช้าตื่นมา ใบหน้าเราไม่ได้สกปรกมาก ก็จะใช้ส้มเขียวหวานมาถูหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า แค่นี้จะทำให้หน้าใสขึ้นมาได้ เพราะผิวเราได้ดูดซับวิตามินจากผลไม้สดๆ ไปด้วย แต่ถ้าเป็นคนผิวมัน เปลี่ยนมาใช้มะเขือเทศก็จะช่วยให้ผิวใสได้เหมือนกัน"
ส่วนการอาบน้ำ คุณปอนแนะนำว่า สามารถใช้น้ำมะขามเปียกชโลมตัว จากนั้นใช้ใยบวบค่อยๆขัดตัว แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าก็สะอาดเกลี้ยงเกลาได้เหมือนกัน นอกจากนี้ คุณปอนยังแนะนำวิธีล้างห้องน้ำ อ่างอาบน้ำ หรือห้องครัวให้สะอาด เธอเล่าว่า
"จะใช้เบคกิ้งโซดาหรือน้ำส้มสายชูผสมน้ำอุ่น เช็ดถูห้องครัว ช่วยกำจัดคราบได้ดีมาก และยังทำน้ำหมัก ใช้เศษผัก เศษอาหารในครัวมาหมักกับน้ำตาลทรายแดง หมักทิ้งไว้ ประมาณ 2-3 เดือน น้ำหมักที่ได้จะมีฤทธิ์เป็นกรด เอาน้ำหมักมาเทล้างห้องน้ำ อ่างล้างหน้า อ่างล้างจาน ท่อน้ำอุดตัน ก็สามารถทำความสะอาดได้เหมือนกัน"
ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและหันมาใช้วิถีชีวิตแบบออร์แกนิกส์ ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากช่วยให้เธอมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว เธอยังค้นพบคำตอบของชีวิตจากเรื่องนี้
"อยากบอกว่าดีใจมากที่ป่วย เพราะถ้าไม่ป่วย ก็จะไม่เกิดการปรับเปลี่ยนชีวิต ซึ่งเราอาจจะกลายไปเป็นโรคอื่น ๆ ไปแล้ว ซึ่งหลังจากการปรับเปลี่ยนตอนนี้สุขภาพแข็งแรงมาก นานๆครั้งจึงจะเป็นหวัดสักที ที่เป็นอย่างนี้ เราเชื่อว่า เพราะได้กินอยู่แบบธรรมชาติ แบบออร์แกนิกซึ่งเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของปู่ ย่า ตา ยาย เราเอง"
นี่คือแง่งามจากการใช้ชีวิตตามแนวทางออร์แกนิก นอกจากชนะโรคภัยอย่างภูมิแพ้แล้ว ยังทำให้จิตใจสงบสุข เพราะเมื่อใดที่เราพาชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติแล้ว ธรรมชาติจะช่วยเยียวยาจิตใจและร่างกายเราได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ใคร ไม่เชื่อต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า วิถีออร์แกนิกหรือการพาชีวิตเข้าใกล้ชิดธรรมชาติซึ่งเป็นกฎข้อหนึ่งใน บัญญัติ 5 ประการของชีวจิต สามารถทำให้เรามีสุขภาพกายและใจแข็งแรงได้
ล้อมกรอบ
ภูมิแพ้เกิดขึ้นเพราะอะไร
อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต อธิบายไว้ในหนังสือ ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต เล่ม 4 ถึงสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ว่า อาจเกิดจากร่างกายได้รับท็อกซินคือ สารปรุงแต่งในอาหาร เช่น สารกันบูด สีผสมอาหาร ผงชูรส และสารเคมีอื่นๆจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้ว ภูมิต้านทานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอิมมูนซิสเต็ม (Immune System) หรือภูมิชีวิตจะทำปฏิกิริยากับเม็ดเลือดขาวโดยตรงเพื่อต่อต้านหรือขับสาร เหล่านี้ออกมา และแสดงอาการคันและบวมทางผิวหนัง

แหล่งที่มา

http://women.sanook.com/1406091/%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%89/